เลือกหัวข้อที่อ่าน
- ไส้ติ่งอักเสบ คืออะไร
- ไส้ติ่งอักเสบ มีอาการอย่างไร
- ไส้ติ่งอักเสบ มีสาเหตุเกิดจากอะไร
- ไส้ติ่งอักเสบ มีวิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร
- ไส้ติ่งอักเสบ มีวิธีการการรักษาอย่างไร
- การรักษาทางเลือก
ไส้ติ่งอักเสบ คืออะไร
เป็นอาการติดเชื้อของไส้ติ่งซึ่งเป็นอวัยวะที่มีลักษณะเป็นหลอดเรียวยาวคล้ายนิ้วมือตรงด้านขวาล่างของช่องท้อง
อาการเจ็บปวดมักเกิดขึ้นตรงบริเวณด้านขวาล่างของช่องท้อง โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักรู้สึกเริ่มปวดบริเวณลิ้นปี่หรือรอบ ๆ สะดือและต่อมาอาการปวดอาจย้ายตำแหน่งไปตรงด้านขวาล่างของช่องท้อง อาการมักแย่ลงหากการติดเชื้อรุนแรงมากขึ้น
ไส้ติ่งอักเสบเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย แต่มักพบในช่วงอายุ 10-30 ปี การรักษามักทำโดยการผ่าตัด
ไส้ติ่งอักเสบ มีอาการอย่างไร
- ปวดบริเวณด้านขวาล่างของท้อง
- อาการปวดเริ่มที่บริเวณลิ้นปี่หรือ รอบสะดือและย้ายไปยังด้านขวาล่างของช่องท้อง
- อาการปวดแย่ลงเมื่อไอ เดิน หรือเปลี่ยนท่าทางกะทันหัน
- คลื่นไส้ อาเจียน
- เบื่ออาหาร
- มีไข้ต่ำ ๆ หากไส้ติ่งอักเสบรุนแรงขึ้น
- ท้องเสียหรือท้องผูก
- ท้องอืด
ควรพบแพทย์เมื่อไร
ควรพบแพทย์เมื่อเริ่มมีอาการของโรคไส้ติ่งอักเสบ ควรพบแพทย์ทันทีเมื่ออาการปวดในช่องท้องแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ไส้ติ่งอักเสบ มีสาเหตุเกิดจากอะไร
- ไส้ติ่งแตก: เมื่อไส้ติ่งแตก หนองจะแพร่กระจายไปทั่วช่องท้องได้ เป็นสาเหตุของการเกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ควรได้รับการผ่าตัดและการทำความสะอาดช่องท้องอย่างทันท่วงที
- ฝี: เมื่อไส้ติ่งแตก อาจทำให้เกิดฝีหนอง ซึ่งต้องทำการใส่สายระบายหนองเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ ระหว่างนั้นผู้ป่วยจะได้รับยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อควบคู่ไปด้วย
หลังจากระบายหนองออกและหายอักเสบดีแล้ว ก็สามารถผ่าตัดเอาไส้ติ่งออกได้อย่างปลอดภัย ในบางกรณีแพทย์อาจทำการผ่าตัดทันทีหลังการระบายหนองจากฝีในช่องท้องได้หมด
ไส้ติ่งอักเสบ มีวิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร
แพทย์จะซักถามอาการของผู้ป่วยและทำการตรวจช่องท้องเพื่อวินิจฉัยโรค
การตรวจและวินิจฉัยโรค อาจทำได้โดย
- การตรวจร่างกาย
แพทย์จะกดเบาๆบริเวณที่ปวด หากผู้ป่วยมีอาการเยื่อบุช่องท้องอักเสบอาการปวดจะแรงขึ้น หลังจากที่แพทย์ปล่อยมือที่กด แพทย์จะประเมินอาการท้องแข็งและอาการเกร็งท้อง แพทย์อาจทำการตรวจทางทวารหนักร่วมด้วย ในหญิงวัยเจริญพันธุ์แพทย์อาจทำการตรวจภายในเพื่อวินิจฉัยโรคทางสูตินรีเวชซึ่งอาจเป็นสาเหตุของอาการปวดท้อง - การตรวจเลือด
เมื่อร่างกายมีการติดเชื้อ จำนวนเม็ดเลือดขาวในเลือดจะสูงขึ้น - การตรวจปัสสาวะ
เพื่อตรวจว่าอาการปวดเกิดจากโรคนิ่วหรือโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบหรือไม่ - การสแกนวินิจฉัย
แพทย์อาจให้ทำการเอกซ์เรย์ อัลตราซาวนด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) หรือ ตรวจด้วยคลื่นวิทยุและสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) บริเวณช่องท้อง เพื่อช่วยระบุโรคหรือตรวจหาสาเหตุอื่น ๆ ของอาการปวดท้อง
ไส้ติ่งอักเสบ มีวิธีการการรักษาอย่างไร
โรคไส้ติ่งอักเสบรักษาได้ด้วยวิธีผ่าตัด ก่อนเข้ารับการผ่าตัดผู้ป่วยอาจต้องได้รับยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อ
- การผ่าตัดไส้ติ่ง
แพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง โดยจะทำการกรีดช่องท้องยาว 5-10 เซนติเมตรหรือ 2-4 นิ้วเพื่อตัดไส้ติ่งออก ส่วนการผ่าตัดไส้ติ่งผ่านกล้องนั้น แผลจะมีขนาดเล็ก 2-3 แผลและใช้เครื่องมือผ่าตัดพิเศษ พร้อมกล้องวิดีโอเพื่อนำไส้ติ่งออก
การผ่าตัดผ่านกล้องนั้น ผู้ป่วยจะมีรอยแผลเล็กและฟื้นตัวได้เร็วกว่า แพทย์มักแนะนำการผ่าตัดผ่านกล้องในผู้ป่วยสูงอายุหรือเป็นโรคอ้วน แต่การผ่าตัดประเภทนี้อาจไม่เหมาะกับทุกคน แพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดหน้าท้องในกรณีที่ไส้ติ่งแตกหรือเกิดฝี เพราะสามารถทำความสะอาดช่องท้องได้ดีกว่า ผู้ป่วยต้องพักในโรงพยาบาล 1-2 วันหลังการผ่าตัด - การระบายฝีก่อนการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง
หากเกิดการสะสมของหนองจนเกิดเป็นฝีหลังไส้ติ่งแตก แพทย์จะทำการระบายหนองออกจากฝีโดยการใส่ท่อระบายผ่านหน้าท้อง แพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดหน้าท้องหลังระบายหนองออกและควบคุมการติดเชื้อได้แล้ว
การดูแลรักษาตัวที่บ้านและการเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิต
การพักฟื้นหลังการผ่าตัดอาจใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้นหากไส้ติ่งแตก เพื่อช่วยให้การฟื้นตัวเร็วขึ้น ผู้ป่วยอาจปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้
- งดกิจกรรมที่ออกแรงมาก ๆ
- หลังการผ่าตัดผ่านกล้อง ควรงดกิจกรรมที่ออกแรงมาก 3-5 วัน
- หลังการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง ควรงดกิจกรรมที่ออกแรงมาก 10-14 วัน
ผู้ป่วยสามารถปรึกษาแพทย์ว่ากิจกรรมใดที่ควรหลีกเลี่ยงและเมื่อไรที่สามารถกลับไปทำกิจกรรมตามปกติได้
- ใช้หมอนหรือมือพยุงแผลผ่าตัดขณะที่ไอ หัวเราะ หรือเคลื่อนไหวเพื่อช่วยลดอาการปวด
- ปรึกษาแพทย์หากอาการปวดไม่บรรเทาลงหลังรับประทานยา อาการปวดแผลหลังผ่าตัดจะดีขึ้นวันต่อวัน ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์หากยังมีอาการปวดหลังรับประทานยา
- พยายามเคลื่อนไหวเมื่อทำได้ พยายามขยับตัวโดยอาจเริ่มจากการเดินระยะสั้น ๆ และค่อย ๆ เพิ่มกิจกรรมเมื่อรู้สึกพร้อม
- พักผ่อน ระหว่างพักฟื้น อาจรู้สึกง่วงบ่อย ผู้ป่วยสามารถพักหรือนอนหลับได้ตามที่ต้องการ
- ปรึกษาแพทย์ เรื่องการกลับไปทำงานหรือไปโรงเรียน เมื่อรู้สึกแข็งแรงมากพอ ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำงานได้ เด็กสามารถไปโรงเรียนภายใน 1 สัปดาห์ แต่ควรงดกิจกรรมใช้กำลัง เช่น การเล่นกีฬาหรือวิชาพละศึกษา เป็นเวลา 2-4 สัปดาห์
การรักษาทางเลือก
เพื่อบรรเทาอาการปวดหลังผ่าตัด แพทย์จะสั่งยาแก้ปวดให้ผู้ป่วย การรักษาทางเลือกร่วมกับการรับประทานยาตามปกติ สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้ ผู้ป่วยสามารถปรึกษาแพทย์ถึงการรักษาทางเลือกได้ เช่น
- การเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น พูดคุยกับเพื่อน ฟังเพลง สามารถช่วยเบี่ยงเบนความสนใจไปจากอาการปวดหลังผ่าตัด เด็ก ๆ มักลืมอาการปวดหากถูกดึงความสนใจไปเรื่องอื่น ๆ
- จินตภาพภายใต้การชี้นำ เช่น จินตนาการถึงสถานที่อยากไปหรือชื่นชอบ
การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์
เมื่อผู้ป่วยมีอาการปวดท้องที่เข้าได้กับไส้ติ่งอักเสบ ควรเข้าพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ หากอาการปวดนั้นเกิดจากไส้ติ่งอักเสบ ควรเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและได้รับการผ่าตัด
สิ่งที่ผู้ป่วยควรทำ
ก่อนพบแพทย์ ผู้ป่วยสามารถสอบถามว่าต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง เช่น การงดน้ำและอาหาร และควรเตรียมข้อมูลดังต่อไปนี้
- อาการของโรค ทั้งที่น่าจะมีสาเหตุมาจากโรคไส้ติ่งอักเสบหรือโรคอื่น ๆ
- ประวัติทางการแพทย์ของครอบครัว เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียดหรือการเลี่ยนแปลง
- ชนิดและขนาดของยาหรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่รับประทานอยู่
- คำถามที่อยากถามแพทย์
ผู้ป่วยอาจพาญาติหรือเพื่อนไปพบแพทย์ด้วยเพื่อช่วยจดบันทึก
ตัวอย่างคำถามที่ผู้ป่วยอาจจะอยากถามแพทย์
- อาการเกิดจากโรคไส้ติ่งอักเสบหรือไม่
- ต้องทำการตรวจอะไรบ้าง
- สาเหตุของอาการปวดท้องมีอะไรบ้าง
- จำเป็นต้องผ่าตัดหรือไม่ และเมื่อไรควรได้รับการผ่าตัด
- การผ่าตัดมีความเสี่ยงอะไรบ้าง
- หลังจากผ่าตัดแล้ว ต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลหรือไม่
- ต้องพักฟื้นนานเท่าไร
- สามารถกลับไปทำงานได้เมื่อไร
- ไส้ติ่งแตกหรือไม่
- ผู้ป่วยสามารถถามคำถามอื่น ๆ เพื่อคลายข้อสงสัย
สิ่งที่แพทย์จะถาม
ตัวอย่างคำถามที่แพทย์อาจจะถามผู้ป่วย
- อาการเริ่มขึ้นเมื่อไร
- อาการปวดเริ่มตรงจุดใด
- อาการปวดย้ายตำแหน่งหรือไม่
- มีอาการปวดมากหรือไม่
- อะไรทำให้อาการปวดแย่ลง
- อะไรทำให้อาการปวดดีขึ้น
- มีไข้ร่วมด้วยหรือไม่
- มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนหรือไม่
- มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยหรือไม่