เลือกหัวข้อที่อ่าน
โรคตับแข็ง
โรคตับแข็ง คือภาวะที่ตับมีการก่อตัวของเนื้อเยื่อพังผืดส่วนเกิน อันเป็นผลจากภาวะตับอักเสบเรื้องรังจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น โรคพิษสุราเรื้อรัง ไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง หรือไขมันคั่งในตับ เป็นต้น เมื่อเกิดการอักเสบเรื้อรังเป็นระยะเวลานาน ตับจะทำการซ่อมแซมตัวเอง กระบวนการซ่อมแซมจะสร้างเนื้อเยื่อพังผืดสะสมจนเกิดเป็นโรคตับแข็ง ทำให้ตับไม่สามารถทำงานได้ปกติ โรคตับแข็งระยะท้ายๆเป็นภาวะที่เป็นอันตรายถึงชีวิต ทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งตับอีกด้วย
โรคตับแข็งในระยะท้ายส่งผลให้เกิดความเสียหายของตับอย่างถาวร แต่หากได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่น ๆ และรักษาอย่างเหมาะสม ก็สามารถป้องกันไม่ให้เกิดความบาดเจ็บเสียหายที่จะเพิ่มตามมาได้
อาการของโรคตับแข็ง
ผู้ที่เป็นโรคตับแข็งมักจะไม่แสดงอาการใด ๆ จนกว่าตับจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง โดยอาจมีอาการดังต่อไปนี้
- รู้สึกอ่อนเพลีย
- เลือดออกง่าย หรือเป็นจ้ำเลือดได้ง่าย
- เบื่ออาหาร
- คลื่นไส้
- ขา เท้า หรือข้อเท้าบวม
- น้ำหนักลด
- อาการคันที่ผิวหนัง
- ภาวะดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง
- มีน้ำสะสมในช่องท้อง ทำให้ท้องโตขึ้น (ภาวะท้องมาน)
- เกิดเส้นเลือดฝอยลักษณะคล้ายใยแมงมุมที่บริเวณหน้าอก หรือแผ่นหลัง
- ฝ่ามือแดงเข้มขี้น
- สำหรับผู้หญิง จะเกิดการหมดประจำเดือนหรือประจำเดือนขาดที่ไม่เกี่ยวกับวัยหมดประจำเดือน
- สำหรับผู้ชาย จะพบความผิดปกติทางเพศ ลูกอัณฑะฝ่อ หรือเต้านมโต
- รู้สึกสับสน ซึมลง หรือพูดไม่ชัด
สาเหตุโรคตับแข็ง
- การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- ไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบี ซี และดี
- โรคไขมันคั่งตับที่ไม่ได้มีสาเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์
- ภาวะฮีโมโครมาโตซิส
- โรคซิสติกไฟโบรซิส
- โรควิลสัน
- โรคท่อน้ำดีตีบตันในทารก
- การขาดสารต้านทริปซินอัลฟ่า-1
- โรคกาแลคโตซีเมียหรือภาวะที่มีการสะสมไกลโคเจนในตับมากผิดปกติ
- โรคตับที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคตับอักเสบจากภูมิต้านตนเอง โรคท่อน้ำดีอักเสบจากภาวะภูมิต้านตนเองทั้งท่อน้ำดีขนาดใหญ่และขนาดเล็ก
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคตับแข็ง
- การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป – การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเป็นปัจจัยหนึ่งที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคตับแข็ง
- โรคอ้วน – การมีน้ำหนักเกิน จะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดภาวะต่างๆ ที่อาจนำไปสู่โรคตับแข็งได้ เช่น โรคไขมันคั่งตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์
- ไวรัสตับอักเสบ – เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบและตับแข็งทั่วโลก
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคตับแข็ง
- ความดันโลหิตในหลอดเลือดพอร์ทัลภายในช่องท้องสูง –โรคตับแข็งจะเพิ่มความดันในหลอดเลือดดำพอร์ทัลที่ไหลไปยังตับ ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้แก่ ขาบวม ท้องมาน ม้ามโต รวมไปถึงมีภาวะตกเลือดจากเส้นเลือดโป่งพองในหลอดอาหาร
- การติดเชื้อ – ผู้ป่วยโรคตับแข็งมีภูมิคุ้มกันต่ำ ไม่สามารถต้านทานการติดเชื้อได้ดี ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรงมากขี้น
- ภาวะทุพโภชนาการ – เกิดจากการดูดซึมอาหารได้น้อยลง ทำให้น้ำหนักตัวลดและรู้สึกอ่อนเพลีย
- ภาวะซึม สับสนจากการทำงานบกพร่องของตับ – เกิดจากภาวะที่มีสารพิษสะสมในร่างกาย เนื่องจากตับที่เสียหาย ไม่สามารถกำจัดสารพิษออกจากเลือดได้ ส่งผลต่อสมอง เกิดความสับสนและเข้าสู่อาการโคม่าได้
- ดีซ่าน – ผิวหนังและตาขาวจะมีสีเหลือง และปัสสาวะมีสีเข้มขึ้นเพราะตับไม่สามารถกำจัด สารเหลืองหรือบิลิรูบินออกจากเลือดได้
- โรคกระดูก – ผู้ที่เป็นโรคตับแข็งอาจมีความหนาแน่นของกระดูกลดลงและมีความเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกหักได้สูงขึ้น
- ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับสูงขึ้น
- ภาวะการทำงานของตับล้มเหลวเฉียบพลันแทรกซ้อนในผู้ป่วยตับแข็งเรื้อรัง – ซึ่งมีสาเหตุมาจากภาวะกระตุ้นต่าง ๆ โดยเฉพาะจากการติดเชื้อ ทำให้การทำงานของอวัยวะต่างๆล้มเหลวลง
วิธีป้องกันโรคตับแข็ง
- หยุดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เมื่อเป็นโรคตับแข็ง
- ทานอาหารเพื่อสุขภาพ – รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ โดยเน้นอาหารจำพวก พืชผักเป็นส่วนประกอบหลัก ได้แก่ ผลไม้ ผัก ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนไร้มัน ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมัน
- รักษาดัชนีมวลกายให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ – ไขมันที่สะสมในร่างกายรวมถึงในตับสามารถทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรังได้ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับแผนการลดน้ำหนักหากมีน้ำหนักเกิน
- ลดปัจจัยเสี่ยงของโรคตับอักเสบ – หลีกเลี่ยงการใช้เข็มร่วมกันและการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกัน เนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคไวรัสตับอักเสบ บีและซีได้
การวินิจฉัยโรคตับแข็ง
โรคตับแข็งระยะเริ่มต้นมักไม่แสดงอาการใดๆ โรคตับแข็งมักตรวจพบได้จากการตรวจเลือดหรือการตรวจสุขภาพ แพทย์อาจสั่งตรวจอย่างใดอย่างหนึ่งเหล่านี้หากสงสัยว่าผู้ป่วยอาจมีปัญหาตับ เช่น
- การตรวจในห้องปฏิบัติการ – แพทย์อาจสั่งตรวจเลือดเพื่อตรวจหาร่องรอยของความผิดปกติของตับ เช่น บิลิรูบินในปริมาณสูง ตรวจเอ็นไซม์ตับชนิดต่าง ๆ ตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบ ตรวจการแข็งตัวของเลือด ปริมาณโปรตีนไข่ขาวในเลือด เพื่อดูความสามารถในการสังเคราะห์โปรตีนของตับ ผลจากการตรวจเลือดจะช่วยให้แพทย์ระบุสาเหตุของโรคตับแข็งและความรุนแรงของอาการได้
- การวินิจฉัยด้วยภาพทางการแพทย์ – ภาพทางการแพทย์ต่าง ๆ ได้แก่ อัลตร้าซาวด์ เอ๊กซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ซึ่งอาจรวมถึงการตรวจพังผืดตับจากเครื่อง MRI (MR Elastography; MRE) สามารถให้ข้อมูลรูปร่าง และความยืดหยุ่นของตับ เพื่อดูลักษณะของตับแข็งได้
- การตรวจวัดปริมาณพังผืดในตับ (Transient elastography; Fibroscan) เป็นเครื่องมือสำหรับการตรวจวัดระดับความแข็งของตับซึ่งสะท้อนถึงปริมาณการสะสมของพังผืดในตับ สามารถตรวจหาภาวะตับแข็งได้ตั้งแต่ระยะแรก รวมทั้งยังสามารถวัดปริมาณของไขมันที่สะสมในตับได้อีกด้วย
- การตรวจชิ้นเนื้อ – การตัดชิ้นเนื้อตับในปัจจุบันทำน้อยลงมาก เนื่องจากมีอุปกรณ์และการตรวจใหม่ ๆ เข้ามาทดแทน ทำให้สามารถวินิจฉัยโรคตับได้โดยไม่ต้องทำการเจาะชิ้นเนื้อตับไปตรวจ อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยบางรายที่ไม่สามารถหาสาเหตุของโรคตับได้ก็อาจจำเป็นที่จะต้องทำการตัดชิ้นเนื้อตับไปตรวจ
แพทย์จะแนะนำให้คนไข้มาตรวจติดตามโรคหรือภาวะแทรกซ้อน อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะหลอดเลือดโป่งพองที่หลอดอาหาร และมะเร็งตับ
การรักษาโรคตับแข็ง
การรักษาโรคตับแข็งขึ้นอยู่กับสาเหตุ ความรุนแรงและความเสียหายของตับ การรักษามีจุดมุ่งหมายเพื่อชะลอการลุกลามของโรคตับแข็งและรักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคตับแข็ง หากโรคตับแข็งได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มต้น อาจะมีความเป็นไปได้ที่ความเสียหายจะน้อยลงหากสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคตับแข็งได้รับการบำบัดแต่เนิ่นๆ ถ้าตับของคนไข้เสียหายอย่างรุนแรง คนไข้จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
- การรักษาโรคพิษสุราเรื้อรัง – ผู้ที่เป็นโรคตับแข็งจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป แนะนำให้หยุดดื่ม แพทย์อาจแนะนำเข้าร่วมโปรแกรมการรักษาโรคพิษสุราเรื้อรัง
- การรักษาโรคไขมันคั่งตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ - แนะนำให้คนไข้ลดน้ำหนักและรักษาระดับน้ำตาลรวมทั้งไขมันในเลือด
- ใช้ยาเพื่อรักษาโรคไวรัสตับอักเสบ – ยาจะช่วยลดความเสียหายของตับเนื่องจากไวรัสตับอักเสบบีหรือซี
- การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการอื่นๆ ของโรคตับแข็ง - ยาเหล่านี้อาจช่วยชะลอการเกิดโรคตับแข็งบางชนิดได้ ผู้ที่เป็นโรคตับแข็งจากท่อน้ำดีอักเสบหรือผู้ป่วยที่มีภาวะโรคตับจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ ที่ได้รับการวินิจฉัยแต่เนิ่นๆ สามารถรักษาด้วยยาได้
ยาชนิดอื่น ๆ สามารถช่วยบรรเทาอาการอย่างอื่นได้ เช่น อาการคัน อ่อนแรง และปวด การรับประทานสารอาหารเสริมทางการแพทย์อาจช่วยรักษาภาวะทุพโภชนาการที่เกี่ยวข้องกับโรคตับแข็งเพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน
การรักษาภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็งมีดังนี้
- สำหรับของเหลวส่วนเกินในร่างกายที่ทำให้เกิดภาวะบวมน้ำ – แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารโซเดียมต่ำและใช้ยาขับปัสสาวะเพื่อป้องกันการสะสมของเหลวส่วนเกินในร่างกาย และเพื่อควบคุมอาการบวม ในรายที่อาการรุนแรง อาจต้องเจาะระบายของเหลวในช่องท้องออก
- ความดันโลหิตในหลอดเลือดพอร์ทัลสูง– ยาที่ช่วยควบคุมความดันโลหิตในเส้นเลือดพอร์ทัลช่วยป้องกันเลือดออกรุนแรงได้ แพทย์จะทำการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบนเพื่อค้นหาเส้นเลือดโป่งพองในหลอดอาหารหรือในกระเพาะอาหาร
หากพบมีเส้นเลือดโป่งพองในหลอดอาหาร ผู้ป่วยจะต้องทานยาลดความดันในหลอดเลือดพอร์ทัลเพื่อลดความเสี่ยงในการตกเลือด ผู้ป่วยต้องเข้ารับการส่องกล้องและใช้ยางรัดเพื่อหยุดเลือดหรือป้องกันไม่ให้เลือดออกในอนาคต
- การติดเชื้อ – แพทย์อาจสั่งยาปฏิชีวนะหรือการรักษาอื่นๆ เพื่อรักษาการติดเชื้อ คุณอาจจำเป็นต้องฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม และไวรัสตับอักเสบชนิดเอและบี
- โรคตับแข็งจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับ – แพทย์จะแนะนำให้ตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งตับและตรวจอัลตราซาวนด์ทุก 6 เดือน เพื่อค้นหามะเร็งตับตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
- ภาวะซึมสับสนจากตับแข็งระยะท้าย – แพทย์อาจสั่งยาเพื่อช่วยบรรเทาการสะสมของสารพิษในเลือด
การผ่าตัดปลูกถ่ายตับ
การปลูกถ่ายตับอาจเป็นทางเลือกเดียวสำหรับโรคตับแข็งที่มีความรุนแรง โดยตับที่ไม่มีโรคจากผู้บริจาค จะถูกปลูกถ่ายแทนที่ตับที่แข็ง ผู้ที่ต้องการปลูกถ่ายตับจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจต่างๆ เพื่อดูว่ามีความเหมาะสมสำหรับการผ่าตัดหรือไม่โดยปกติ ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งจากแอลกอฮอล์อาจจะไม่ได้รับการพิจารณาปลูกถ่ายตับ ถ้าถูกประเมินว่ามีความเสี่ยงที่พวกเขาจะกลับไปดื่มแอลกอฮอล์อีกหลังการปลูกถ่าย อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งขั้นรุนแรงจากการดื่มแอลกอฮอล์บางคน มีอัตราการรอดตาย ไม่แตกต่างกับผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายตับจากภาวะโรคตับอื่นๆ
การผ่าตัดปลูกถ่ายตับเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาโรคตับแข็งจากแอลกอฮอล์ โดยผู้ป่วยต้องปฎิบัติตัวดังต่อไปนี้
- มีคุณสมบัติที่สามารถเข้าร่วมโปรแกรมดูแลคนไข้โรคตับแข็งจากแอลกอฮอล์ และปฏิบัติตามข้อกำหนดของโปรแกรมได้ เช่น มีความมุ่งมั่นในการเลิกดื่มแอลกอฮอล์ตลอดชีวิต และปฎิบัติตามข้อกำหนดอื่นๆ ที่กำหนด
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
- งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ – ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ไม่ว่าโรคตับแข็งจะเกิดจากแอลกอฮอล์หรือไม่ เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้ตับเกิดความเสียหายมากขึ้น
- รับประทานอาหารโซเดียมต่ำ – การบริโภคเกลือมากเกินไปทำให้ของเหลวสะสมในร่างกายและเกิดอาการบวมในช่องท้องและขา ใช้เครื่องปรุงอาหารอื่นแทนเกลือ และเลือกรับประทานอาหารโซเดียมต่ำ
- รับประทานอาหารสุขภาพ – ภาวะทุพโภชนาการเป็นหนึ่งในภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็ง รับประทานอาหารที่เน้นพืชเป็นหลัก เช่น ผลไม้ ผัก โปรตีนไร้มัน พืชตระกูลถั่ว สัตว์ปีก หรือปลา หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารทะเลดิบ
- หลีกเลี่ยงความเสี่ยงของการติดเชื้อ – ร่างกายของคนไข้ที่เป็นโรคตับแข็งมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดคนที่ป่วยเป็นโรคติดเชื้อที่สามารถติดต่อได้ ล้างมือเป็นประจำ รับวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเอ บี ไข้หวัดใหญ่ และโรคปอดบวม
- ระมัดระวังการใช้ยาต่าง ๆ - เนื่องจากยาบางชนิดอาจทำให้ตับถูกทำลายได้มากขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจใช้ยาทุกครั้ง
การเตรียมตัวก่อนการพบแพทย์
หากแพทย์สงสัยว่าคุณมีโอกาสเป็นโรคตับแข็ง แพทย์อาจแนะนำให้ไปพบแพทย์ทางเดินอาหารหรือแพทย์ด้านตับ
วิธีการเตรียมตัวสำหรับการพบแพทย์และสิ่งที่ผู้ป่วยสามารถคาดหวังจากแพทย์ได้ มีดังต่อไปนี้
การเตรียมตัวก่อนการพบแพทย์
- ทำความเข้าใจข้อจำกัด หรือข้อควรระวังก่อนการนัดหมายกับแพทย์ ให้ครบถ้วน ซักถามเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องเตรียมตัวก่อนการพบแพทย์ เช่น ประเภทของอาหาร
- จดบันทึกอาการทั้งหมด รวมทั้งอาการที่ดูเหมือนอาจไม่เกี่ยวข้องกับโรคตับแข็ง
- จดข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งสิ่งที่ทำให้เกิดความเครียดหรือการเปลี่ยนแปลงในชีวิต
- บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพและความเจ็บป่วยอื่นๆที่เป็นอยู่
- นำผลการตรวจทางการแพทย์ เช่นผล CT MRI หรือ ภาพอัลตราซาวด์ และสไลด์ชิ้นเนื้อตับ ไปพบแพทย์
- จดรายชื่อยา วิตามิน หรืออาหารเสริมทั้งหมดที่กำลังรับประทานอยู่
- มาตามนัดกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูงเพื่อช่วยในการจดจำข้อมูลจากแพทย์
- จดคำถามที่มีเพื่อสอบถามแพทย์
ตัวอย่างคำถามที่คุณควรถามแพทย์
- โรคตับแข็งเกิดจากสาเหตุใด
- มีวิธีที่จะชะลอการที่ตับถูกทำลายได้หรือไม่
- ทางเลือกในการรักษามีอะไรบ้าง
- ยาหรือวิตามินชนิดใดบ้างที่จะเป็นอันตรายต่อตับ
- อาการที่ส่อว่าเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็งมีอะไรบ้าง
- จะจัดการโรคตับแข็งได้อย่างไร หากมีภาวะทางสุขภาพอื่นๆด้วย
แพทย์อาจถามคำถามต่อไปนี้
- อาการเริ่มเกิดขึ้น เมื่อใด
- อาการเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นชั่วครั้งชั่วคราวหรือต่อเนื่อง
- อาการเหล่านี้เป็นมากแค่ไหน
- มีอะไรที่ทำให้อาการดีขึ้นหรือไม่
- มีอะไรที่ทำให้อาการทรุดลงหรือไม่
- คุณดื่มเครื่องดืมแอกอฮอล์บ้างหรือไม่ และบ่อยแค่ไหน
- เคยสัมผัสกับสารพิษหรือไม่
- ในครอบครัว มีคนเป็นโรคตับ ภาวะเหล็กเกิน หรือโรคอ้วนบ้างหรือไม่
- เคยมีภาวะดีซ่านหรือไม่
- เคยได้รับการให้เลือดหรือไม่
- เคยใช้สารเสพติดผ่านการใช้เข็มหรือไม่
- เคยทำการสักผิวหนังหรือไม่
- เคยป่วยจากติดเชื้อไวรัสตับอักเสบหรือไม่
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
- คำถาม: โรคตับแข็งมีอาการอย่างไร
คำตอบ: ผู้ที่เป็นโรคตับแข็งมักจะไม่แสดงอาการใด ๆ จนกว่าตับจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง โดยอาจมีอาการอ่อนเพลีย เลือดออกง่าย หรือเป็นจ้ำเลือดได้ง่าย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ขา เท้า หรือข้อเท้าบวม น้ำหนักลด มีน้ำสะสมในช่องท้อง ทำให้ท้องโตขึ้น (ภาวะท้องมาน) เกิดเส้นเลือดฝอยลักษณะคล้ายใยแมงมุมที่บริเวณหน้าอก หรือแผ่นหลัง รู้สึกสับสน ซึมลง หรือพูดไม่ชัด สำหรับผู้หญิงจะเกิดการหมดประจำเดือนหรือประจำเดือนขาดที่ไม่เกี่ยวกับวัยหมดประจำเดือน สำหรับผู้ชายจะพบความผิดปกติทางเพศ ลูกอัณฑะฝ่อ หรือเต้านมโต - คำถาม: โรคตับแข็งมีวิธีป้องกันอย่างไร
คำตอบ: หยุดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เมื่อเป็นโรคตับแข็ง ทานอาหารเพื่อสุขภาพ รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ โดยเน้นอาหารจำพวกพืชผักเป็นส่วนประกอบหลัก ได้แก่ ผลไม้ ผัก ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนไร้มัน ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมัน รักษาดัชนีมวลกายให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไขมันที่สะสมในร่างกายรวมถึงในตับสามารถทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรังได้ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับแผนการลดน้ำหนักหากมีน้ำหนักเกิน ลดปัจจัยเสี่ยงของโรคตับอักเสบ หลีกเลี่ยงการใช้เข็มร่วมกันและการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกัน เนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคไวรัสตับอักเสบบีและซีได้ - คำถาม: รักษาโรคตับแข็งอย่างไร
คำตอบ: การรักษาโรคตับแข็งขึ้นอยู่กับสาเหตุ ความรุนแรงและความเสียหายของตับ การรักษามีจุดมุ่งหมายเพื่อชะลอการลุกลามของโรคตับแข็งและรักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคตับแข็ง หากโรคตับแข็งได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มต้น อาจะมีความเป็นไปได้ที่ความเสียหายจะน้อยลงหากสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคตับแข็งได้รับการบำบัดแต่เนิ่น ๆ ถ้าตับของคนไข้เสียหายอย่างรุนแรง คนไข้จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล - คำถาม: การผ่าตัดปลูกถ่ายตับ คืออะไร
คำตอบ: การปลูกถ่ายตับอาจเป็นทางเลือกเดียวสำหรับโรคตับแข็งที่มีความรุนแรง โดยตับที่ไม่มีโรคจากผู้บริจาค จะถูกปลูกถ่ายแทนที่ตับที่แข็ง ผู้ที่ต้องการปลูกถ่ายตับจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจต่างๆ เพื่อดูว่ามีความเหมาะสมสำหรับการผ่าตัดหรือไม่โดยปกติ ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งจากแอลกอฮอล์อาจจะไม่ได้รับการพิจารณาปลูกถ่ายตับ ถ้าถูกประเมินว่ามีความเสี่ยงที่พวกเขาจะกลับไปดื่มแอลกอฮอล์อีกหลังการปลูกถ่าย อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งขั้นรุนแรงจากการดื่มแอลกอฮอล์บางคน มีอัตราการรอดตาย ไม่แตกต่างกับผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายตับจากภาวะโรคตับอื่น ๆ