ไข้หวัด ตามฤดูกาล
โรคไข้หวัด คือโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่ติดต่อกันได้ง่าย เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งมีมากกว่า 200 สายพันธุ์ แต่สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดจะเป็นเชื้อไรโนไวรัส โดยเฉลี่ยแล้วผู้ใหญ่อาจป่วยเป็นไข้หวัด 2 - 3 ครั้งต่อปี ในขณะที่เด็กอาจป่วยมากกว่า 4 ครั้งต่อปี
อาการของไข้หวัด
- ระยะที่ 1 (วันที่ 1-3)
หลังจากสัมผัสเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ผู้ป่วยจะเริ่มระคายคอ จาม น้ำมูกไหล คัดจมูก ไอ และเสียงแหบ - ระยะที่ 2 (วันที่ 4-7)
อาการแย่ลง พร้อมกับมีอาการปวดศีรษะ ปวดตัว อ่อนเพลีย ตาแฉะ มีไข้ต่ำ ๆ - ระยะที่ 3 (วันที่ 8-10)
อาการเริ่มดีขึ้น แต่อาจจะยังมีอาการไอหลงเหลืออยู่ ซึ่งอาการไอเกิดได้ตามหลังการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจนานถึง 2 เดือนอย่างไรก็ดี หากอาการไม่ดีขึ้นและไข้กลับมาอีก ควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมเนื่องจากอาจจะเกิดจากภาวะแทรกซ้อน เช่น เป็นโรคไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ หรือปอดบวม เป็นต้น
อาการไข้หวัดในเด็กเล็ก
เมื่อเป็นไข้หวัด เด็กเล็กมักจะมีน้ำมูกใส เหลืองหรือเขียว จาม ไอ มีไข้ (38.3 - 38.9 องศาเซลเซียส) ต่อมน้ำเหลืองโต น้ำลายไหล เบื่ออาหารจากอาการเจ็บคอและกลืนลำบาก เด็ก ๆ อาจงอแงเนื่องจากรู้สึกไม่สบายตัว
ควรพบแพทย์เมื่อไร
สำหรับผู้ใหญ่ แนะนำให้พบแพทย์หากมีอาการดังต่อไปนี้
- มีไข้สูงกว่า 38.5 องศาเซลเซียสนานเกิน 3 วัน
- กลับมามีไข้สูงอีกครั้งหลังที่ไข้ลดลงแล้ว
- หายใจหอบเหนื่อย หายใจมีเสียงหวีด เจ็บคอมาก ปวดศีรษะ ปวดไซนัส
สำหรับเด็ก ควรไปพบแพทย์ทันทีที่มีอาการดังต่อไปนี้
- เด็กอายุต่ำกว่า 2 เดือน ร่วมกับอาการมีไข้
- ไข้สูงกว่าเดิมและมีไข้นานมากกว่า 2 วัน
- ปวดศีรษะ เจ็บคอ ปวดหูรุนแรง
- ไอมากกว่า 3 สัปดาห์
- ง่วงนอน งอแงมากกว่าปกติ
- เบื่ออาหาร ซึ่งอาจเกิดภาวะขาดน้ำ
- จมูกบานขณะหายใจ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของอาการหายใจลำบาก
- ซี่โครงบานเวลาหายใจ
- หายใจมีเสียงหวีด หายใจเร็ว
- ปากซีด
สาเหตุโรคไข้หวัด
เชื้อไวรัสชนิดต่าง ๆ นั้นอาจก่อให้เกิดอาการของโรคไข้หวัดได้ แต่ไรโนไวรัสเป็นเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุหลักของโรคไข้หวัดที่พบได้บ่อย เฉพาะไรโนไวรัสชนิดเดียวก็มีมากกว่า 100 สายพันธุ์ เมื่อติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่ง ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันไวรัสสายพันธุ์นั้น ๆ แต่ยังมีอีกหลายสายพันธุ์ที่ร่างกายของคนเราไม่มีภูมิคุ้มกัน จึงทำให้เราเป็นไข้หวัดกันได้บ่อย ๆ
- การสัมผัสโดยตรง
การสัมผัสโดยตรงเป็นวิธีติดเชื้อหลักของโรคไข้หวัด ผู้ป่วยโรคไข้หวัดมักจะมีเชื้อไวรัสปนเปื้อนติดอยู่ที่มือ ซึ่งเชื้อดังกล่าวมีชีวิตอยู่ได้ถึง 2 ชั่วโมง หากไปสัมผัสมือผู้ป่วย แล้วนำมือนั้นมาสัมผัสหน้าของตนเอง เชื้ออาจหลุดเข้าไปในร่างกาย ทำให้ติดเชื้อไข้หวัดได้ - การสัมผัสกับพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อ
ไวรัสโรคไข้หวัดสามารถมีชีวิตอยู่พื้นผิว เช่น หน้าเคาน์เตอร์ ลูกบิดประตู หรือโทรศัพท์ ได้นานหลายชั่วโมง หากสัมผัสพื้นผิวดังกล่าวแล้วนำมาสัมผัสตา จมูก หรือปากตนเอง ก็อาจทำให้ติดเชื้อได้ - การสูดละอองฝอยที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส
ผู้ป่วยอาจจะไอจามละอองฝอยที่มีเชื้อไวรัสออกมาทางอากาศ ผู้ที่อยู่ใกล้อาจสัมผัสละอองฝอยดังกล่าว ทำให้เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายทางตา จมูก หรือปาก หากผู้ป่วยปิดปากขณะไอหรือจามก็จะช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อได้
เชื้อไวรัสโรคไข้หวัดนั้นไม่ติดต่อกันผ่านทางน้ำลาย โรคไข้หวัดจึงไม่ติดต่อกันผ่านการจูบ แต่ถ้าหากอยู่ใกล้ผู้ป่วยก็อาจติดเชื้อจากการสูดละอองฝอยได้ นอกจากนี้โรคไข้หวัดไม่ได้เกิดจากอากาศที่หนาวเย็นแต่เชื้อไวรัสบางชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคอาจจะเติบโตได้ดีในบางฤดู เช่น ฤดูหนาว
การตรวจวินิจฉัยโรคไข้หวัด
- การซักประวัติและตรวจร่างกาย แพทย์จะทำการตรวจโพรงจมูก คอ ปอด และต่อมน้ำเหลืองที่คอเพื่อดูว่ามีอาการบวม แดง หรืออักเสบหรือไม่
- การสวอบหรือเก็บตัวอย่างจากบริเวณหลังโพรงจมูก
หากแพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยอาจติดเชื้อโควิด ไข้หวัดใหญ่ หรือเชื้ออื่น ๆ แพทย์อาจทำการเก็บตัวอย่างจากโพรงจมูก - การเอกซ์เรย์ปอด
วิธีนี้จะช่วยประเมินว่าปอดบวมหรือหลอดลมอักเสบหรือไม่
การรักษาไข้หวัด
วิธีรักษาไขัหวัด โดยปกติแล้ว อาการของโรคไข้หวัดจะดีขึ้นภายใน 7 - 10 วัน โดยไม่ต้องเข้ารับการรักษาใด ๆ แต่ผู้ป่วยอาจจะยังไอต่ออีก 2 - 3 วัน ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคไข้หวัด ผู้ป่วยควรจะพักผ่อนมาก ๆ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเพื่อบรรเทาอาการ ไม่ควรรับประทานยาปฏิชีวนะเนื่องจากเป็นยาสำหรับฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไม่ได้ฆ่าเชื้อไวรัส
ยาแก้ปวด
- การทานยาแก้ปวดสำหรับผู้ใหญ่ สามารถรับประทานยาพาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน ช่วยบรรเทาอาการไม่สบายตัวจากไข้ ปวดศีรษะ เจ็บคอได้
- การทานยาแก้ปวดสำหรับเด็ก การใช้ยาพาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน ต้องใช้อย่างระมัดระวัง ดังนี้
- ห้ามซื้อยาจากร้านขายยาให้ทารกอายุต่ำกว่า 3 เดือนรับประทาน ควรพาไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยที่เหมาะสม
- ไม่ควรให้ทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือนรับประทานยาไอบูโพรเฟนหากทารกอาเจียนบ่อย
- ห้ามใช้ยาแอสไพรินในเด็กหรือวัยรุ่น เนื่องจากพบความเกี่ยวข้องของการใช้ยาแอสไพรินในเด็กกับวัยรุ่นที่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่กับโรคอีสุกอีใสกับกลุ่มอาการเรย์ (Reye's syndrome) ซึ่งส่งผลต่อสมองและตับ โดยกลุ่มอาการเรย์เป็นกลุ่มอาการที่พบได้น้อยมากแต่อันตรายถึงชีวิต
- ควรอ่านเอกสารกำกับยาหรือปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาทุกครั้ง เพื่อป้องกันการใช้ยาเกินขนาด และไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
ยาแก้คัดจมูก
- ยาแก้คัดจมูกสำหรับผู้ใหญ่ สามารถใช้ยาแก้คัดจมูกแบบยาหยอดหรือยาพ่นได้นาน 5 วัน ไม่ควรใช้นานกว่านี้เพราะอาจทำให้อาการกลับมาอีกได้
- ยาแก้คัดจมูกสำหรับเด็ก อายุต่ำกว่า 6 ปี ไม่ควรใช้ยาแก้คัดจมูก เด็กอายุมากกว่า 6 ปีจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
ยาแก้ไอ
- ยาแก้ไอสำหรับผู้ใหญ่ ควรอ่านเอกสารกำกับยาก่อนใช้เพื่อป้องกันการใช้ยาเกินขนาด ยาน้ำแก้ไอบางชนิดอาจมีตัวยาสำคัญเดียวกับยาแก้ปวดหรือยาแก้คัดจมูก การใช้ยาพร้อมกันอาจทำให้ได้รับยาเกินขนาด
- ยาแก้ไอสำหรับเด็ก ไม่ควรรับประทานยาแก้ไอเนื่องจากอาจรับประทานยาเกินขนาดได้
การดูแลตัวเองที่บ้าน เมื่อเป็นไข้หวัด
- พักผ่อนอยู่ที่บ้านจนกว่าจะไม่มีไข้หรือไอ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยอาจดื่มน้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอุ่นผสมมะนาว หรือรับประทานซุปใส หลีกเลี่ยงดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ซึ่งจะไปกระตุ้นให้ร่างกายขับน้ำออกเร็วขึ้น ทำให้ร่างกายขาดน้ำ
- ดื่มน้ำอุ่นเพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอและอาการคัดจมูก โดยอาจเติมน้ำผึ้งเพื่อบรรเทาอาการไอได้ แต่ห้ามให้เด็กต่ำกว่า 1 ปีรับประทานน้ำผึ้งเนื่องจากอาจก่อให้เกิดโรคโบทูลิซึมในทารก
- หากอากาศแห้ง เปิดเครื่องทำความชื้นในอากาศเพื่อช่วยบรรเทาอาการไอและคัดจมูก แต่ควรหมั่นทำความสะอาดตัวเครื่องอยู่เสมอเพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา
- กลั้วคอด้วยน้ำเกลือเพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอ แต่ไม่แนะนำในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีเพราะอาจยังกลั้วคอไม่เป็น
- ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเพื่อลดอาการคัดจมูกและทำให้โพรงจมูกชุ่มชื่นขึ้น
- ใช้ลูกยางแดงดูดน้ำมูกในโพรงจมูกเด็กทารกหรือเด็กเล็ก ก่อนดูดควรหยดน้ำเกลือในโพรงจมูกเพื่อให้น้ำมูกไม่เหนียวข้นจนเกินไป
- อมน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ หรือยาอมแก้เจ็บคอเพื่อบรรเทาอาการ แต่ไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีอมยาอมแก้เจ็บคอ เพราะอาจติดคอได้
การเตรียมตัวก่อนไปพบแพทย์
- จดอาการที่มีทั้งหมด
- จดรายชื่อยาและอาหารเสริมที่รับประทาน
- ขียนคำถามที่ต้องการถามแพทย์เตรียมไว้
ตัวอย่างคำถาม เช่น
- สาเหตุของโรคคืออะไร
- จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจอะไรเพิ่มเติมหรือไม่
- คุณหมอแนะนำให้รักษาด้วยวิธีใด
- เมื่อไรอาการจะดีขึ้นหรือหายดี
- สามารถกลับไปเรียนหรือไปทำงานได้เมื่อไร
- หากมีโรคประจำตัวอยู่ ควรทำอย่างไร