เลือกหัวข้อที่อ่าน
- ปวดขาหนีบ คืออะไร?
- ปวดขาหนีบมีสาเหตุเกิดจากอะไร?
- อาการปวดขาหนีบมีวิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร?
- อาการปวดขาหนีบ มีวิธีการรักษาอย่างไร?
- คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวอาการปวดขาหนีบ
- คำแนะนำจากแพทย์โรงพยาบาลเมดพาร์ค
อาการปวดขาหนีบ ตึงขาหนีบ
อาการปวดขาหนีบ ตึงขาหนีบ (Groin Strains) เป็นอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อขาหนีบ พบได้บ่อยในผู้ที่เป็นนักกีฬา อาการปวดขาหนีบจะเกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อบริเวณขาหนีบยืดตัวมากเกินไปจนเกิดการฉีกขาด สำหรับการตรวจวินิจฉัยอาการปวดขาหนีบ แพทย์จะตรวจร่างกายหรือใช้วิธีต่าง ๆ เช่น การทำอัลตราซาวด์ เอกซเรย์ หรือ MRI
ปวดขาหนีบ คืออะไร?
อาการปวดขาหนีบ หรือ ตึงขาหนีบ เป็นอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อขาหนีบ พบได้บ่อยในนักกีฬา อาการปวดขาหนีบจะเกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อบริเวณขาหนีบยืดมากเกินไปจนเกิดการฉีกขาด กล้ามเนื้อขาหนีบประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อ 3 กลุ่ม ได้แก่
- กล้ามเนื้อท้องน้อย (Lower Abdominal Muscles)
- กล้ามเนื้องอสะโพก (Iliopsoas muscles)
- กล้ามเนื้อที่ใช้กางและหุบขา (Adductor muscles)
กล้ามเนื้อ 3 กลุ่มนี้ทำหน้าที่ยึดโยงท้องน้อยกับต้นขา
เพื่อให้เห็นภาพว่าอาการปวดขาหนีบเกิดขึ้นได้อย่างไร สิ่งที่ควรทราบก่อนคือ กล้ามเนื้อโดยทั่วไปฉีกขาดได้อย่างไร กล้ามเนื้อแต่ละมัดเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของเส้นใยกล้ามเนื้อหลายๆ เส้น ที่ยืดและหดเพื่อทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้ กล้ามเนื้อที่แข็งแรงจะยืดหยุ่นมาก แต่หากกล้ามเนื้อถูกใช้งานมากเกินไป อาจทำให้ยืดจนเกินขีดจำกัด ทำให้ฉีกขาดได้
อาการปวดขาหนีบมีกี่ประเภท?
อาการปวดขาหนีบ ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการกล้ามเนื้อฉีก แบ่งได้เป็น 3 ระดับตามความรุนแรง
- อาการปวดขาหนีบระดับ 1 จะมีอาการไม่มาก
- หากมีอาการรุนแรงขึ้นจะเรียกว่าระดับ 2
- อาการปวดขาหนีบรุนแรงจะนับเป็นระดับ 3
ปวดขาหนีบมีสาเหตุเกิดจากอะไร?
อาการปวดขาหนีบ เกิดจากการที่กล้ามเนื้อบริเวณขาหนีบยืดตัวเกิดขีดจำกัดจนเสียหายหรือฉีกขาด สาเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้อยืดตัวมากเกินไปมีทั้งอุบัติเหตุจากการเล่นกีฬา แรงที่กระทำต่อขาหนีบโดยตรง และอาการบาดเจ็บซ้ำซาก (Repetitive Strain Injury หรือ RSI) หรือการบาดเจ็บที่ไม่รุนแรงแต่เรื้อรัง (Microtrauma) นอกจากนี้ กีฬาอย่างฮอกกี้ ฟุตบอล อเมริกันฟุตบอล หรือบาสเกตบอลยังทำให้เสี่ยงที่จะเจ็บขาหนีบด้วย
ปวดขาหนีบมีอาการอย่างไร?
อาการปวดขาหนีบจะรู้สึกเหมือนมีอะไรมาเสียบที่ขาหนีบ เมื่อเคลื่อนไหวบางท่าอาจทำให้รู้สึกเจ็บมากขึ้น อาการโดยรวมของการปวดขาหนีบ ได้แก่
- เจ็บขาหนีบ ปวดต้นขาด้านใน
- ขยับขาหรือสะโพกลำบาก
- กล้ามเนื้อหดเกร็ง ตึง
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- บวม
อาการปวดขาหนีบมีวิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร?
แพทย์อาจตรวจร่างกายเพื่อวินิจฉัยอาการปวดขาหนีบ โดยจะทำการตรวจกล้ามเนื้อบริเวณขาหนีบ รวมถึงสอบถามเกี่ยวกับอาการที่มี และกิจกรรมหลังสุดที่ทำก่อนจะเกิดอาการปวด นอกจากตรวจร่างกายแล้ว อาจใช้วิธีอื่น ๆ เช่น
- อัลตราซาวด์
- เอกซเรย์
- MRI
เพื่อตรวจดูกล้ามเนื้อว่ามีการฉีกขาด บาดเจ็บ กระดูกหัก หรือมีเลือดออกภายในหรือไม่
อาการปวดขาหนีบ มีวิธีการรักษาอย่างไร?
หากปวดขาหนีบ สามารถปฏิบัติตามหลักการ RICE เพื่อบรรเทาอาการเบื้องต้นได้ หลักการ RICE ประกอบไปด้วย
- R-Rest พักผ่อน: เลี่ยงไม่ให้กล้ามเนื้อที่ขาหนีบบาดเจ็บด้วยการหยุดทำกิจกรรมบางอย่างที่อาจส่งผลต่ออาการเจ็บ
- I-ICE น้ำแข็ง: ในวันแรกที่มีอาการ ให้ประคบเย็นหรือใช้น้ำแข็งประคบประมาณ 10 ถึง 15 นาทีทุกชั่วโมง โดยให้ใช้ผ้าขนหนูหรือผ้าเช็ดทั่ว ๆ ไปห่อถุงน้ำแข็ง อย่าประคบถุงน้ำแข็งไปที่ผิวโดยตรง หลังพ้นวันแรกไปแล้ว ประคบน้ำแข็งได้ทุก ๆ 3 – 4 ชั่วโมง
- C-Compression รัด: อาการบวมที่เกิดขึ้นบรรเทาได้ด้วยการรัดเพื่อลดการไหลเวียนเลือดไปยังกล้ามเนื้อขาหนีบที่บาดเจ็บ วิธีการรัดทำได้ด้วยการพันผ้า หรือใส่กางเกงรัดกล้ามเนื้อ
- E-Elevation ยก: หากทำได้ ให้ยกขาและร่างกายท่อนล่างไว้เหนือระดับหัวใจ สามารถใช้หมอน ผ้าห่ม หรือเบาะรองนั่งหนุนขาได้
สามารถใช้ไม้ค้ำยันหรือไม้เท้าในช่วงวันแรก ๆ ได้เพื่อช่วยเดินหรือเคลื่อนไหว
การรักษาอาการปวดขาหนีบ โดยการผ่าตัดได้หรือไม่?
ถึงแม้แพทย์มักจะไม่รักษาอาการปวดขาหนีบด้วยการผ่าตัด แต่ผู้ที่มีอาการปวดระดับ 3 อาจจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่ฉีกขาดหรือเพื่อยึดเส้นเอ็นที่หลุดเข้ากับกระดูก แนะนำให้พบแพทย์เพื่อปรึกษาว่าการผ่าตัดประเภทใดจะช่วยรักษาอาการได้
ปวดขาหนีบใช้ยารักษาได้หรือไม่?
แพทย์อาจสั่งยากลุ่ม NSAID (เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือนาพรอกเซน) เพื่อลดอาการปวดบวม ทั้งนี้ ไม่ควรรับประทานยากลุ่ม NSAID ติดต่อกันเป็นเวลา 10 วันโดยไม่ปรึกษาแพทย์
ปวดขาหนีบ มีวิธีการป้องกันอย่างไร?
สิ่งที่ช่วยป้องกันการปวดขาหนีบได้คือ การวอร์มอัพร่างกาย ทำกิจกรรมเบา ๆ เพื่อเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อก่อนจะออกกำลัง นอกจากนี้ ยืดเหยียดกล้ามเนื้อขาและแกนกลางลำตัวยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และป้องกันอาการบาดเจ็บได้
ปวดขาหนีบ ใช้เวลาพักฟื้นนานหรือไม่?
ช่วงเวลาพักฟื้นจากการปวดขาหนีบจะอยู่ที่ว่าอาการรุนแรงแค่ไหน โดยทั่วไปแล้ว อาการปวดขาหนีบระดับ 1 และ 2 จะใช้เวลาฟื้นตัวประมาณ 1 – 2 เดือน ขณะที่อาการปวดขาหนีบรุนแรง หรือระดับ 3 จะใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 4 เดือนหรือมากกว่า
เมื่อมีอาการปวดขาหนีบ คุณควรพบแพทย์หรือไปแผนกฉุกเฉินเมื่อใด?
ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีที่เกิดอาการปวดรุนแรงบริเวณขาหนีบ หรือเมื่อรักษาที่บ้านเป็นระยะเวลาหลายสัปดาห์แล้วแต่ยังรู้สึกปวดอยู่ ในกรณีที่มีเลือดออกบริเวณขาหนีบ เคลื่อนไหวขาหรือสะโพกไม่ได้ ผิวบริเวณขาหนีบเปลี่ยนสี หรือขารู้สึกชา ให้รีบไปแผนกฉุกเฉินทันที
ควรถามอะไรบ้างขณะพบแพทย์ เพื่อรักษาเกี่ยวกับอาการปวดขาหนีบ?
เมื่อเข้าพบแพทย์ ควรถามว่าอาการปวดขาหนีบที่เป็นอยู่ระดับใด วิธีรักษาที่แนะนำคืออะไร คาดว่าจะใช้เวลาพักฟื้นนานเท่าไร รวมถึงควรเลี่ยงทำกิจกรรมอะไรบ้างขณะพักฟื้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวอาการปวดขาหนีบ
- อาการปวดขาหนีบกับกล้ามเนื้อขาหนีบฉีกขาดเหมือนกันหรือไม่?
อาการปวดขาหนีบ กล้ามเนื้อขาหนีบยืด หรือกล้ามเนื้อขาหนีบฉีกขาด ทั้งหมดล้วนเป็นอาการเดียวกัน รักษาด้วยวิธีเดียวกัน - ถ้าปวดขาหนีบ เดินต่อได้หรือเปล่า?
ถ้าเป็นขาหนีบระดับ 1 ยังสามารถเดินต่อได้ แต่แนะนำว่าไม่ควรวิ่งหรือออกกำลังกายขณะพักฟื้น เพราะการเล่นกีฬาหรือออกกำลังก่อนกล้ามเนื้อจะหายดีอาจเพิ่มโอกาสเจ็บซ้ำ - ปวดขาหนีบ เหมือนกับโรคไส้เลื่อนนักกีฬาหรือเปล่า?
ทั้งสองอาการแตกต่างกัน อาการปวดขาหนีบมีสาเหตุมาจากกล้ามเนื้อขาหนีบยืดมากเกินไปหรือฉีกขาด ขณะที่โรคไส้เลื่อนนักกีฬาเกิดจากเส้นเอ็นที่ยึดกล้ามเนื้อท้องกับเชิงกรานขาดหรืออ่อนแอลง
คำแนะนำจากแพทย์โรงพยาบาลเมดพาร์ค
อาการปวดขาหนีบ เป็นอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อขาหนีบ ถึงแม้อาการนี้จะพบได้บ่อยในผู้เล่นกีฬาฮอกกี้หรือฟุตบอล แต่ทุกคนมีโอกาสเป็นได้ การรักษาอาการปวดขาหนีบมีทั้งการรักษาด้วยตนเองด้วยหลักการ RICE การรับประทานยา และการผ่าตัด ช่วงเวลาพักฟื้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ สิ่งสำคัญคือการพักฟื้นให้เต็มที่ ไม่ควรรีบกลับมาออกกำลังหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ เร็วเกินไป เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงได้