เลือกหัวข้อที่อ่าน
- อาการก่อนมีประจำเดือนคืออะไร
- อาการก่อนมีประจำเดือนมีอะไรบ้าง
- อะไรคือสาเหตุของอาการก่อนมีประจำเดือน
- วิธีการตรวจวินิจฉัยมีอะไรบ้าง
- วิธีการรักษาอาการก่อนมีประจำเดือนมีอะไรบ้าง
- การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์
- คำถามที่มักถามบ่อย
อาการก่อนมีประจำเดือน
อาการก่อนมีประจำเดือน มักรวมถึงอาการทางกาย เช่น ท้องอืด อ่อนเพลีย และอาการทางอารมณ์ เช่น รู้สึกหงุดหงิด เศร้า ก่อนรอบเดือน ซึ่งการรับประทานยา หรือการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวันมักช่วยบรรเทาอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อาการก่อนมีประจำเดือนคืออะไร
อาการก่อนมีประจำเดือน มักทำให้เกิดอาการคัดหน้าอก อยากอาหาร อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดเหวี่ยงวีนง่าย หรือซึมเศร้า ผู้หญิงราว 3 ใน 4 คนมักจะมีอาการก่อนมีประจำเดือนไม่อาการใดก็อาการหนึ่ง
อาการก่อนมีประจำเดือนมีอะไรบ้าง
อาการก่อนมีประจำเดือนนั้นคาดเดาไม่ได้ อาการที่เคยเป็นในช่วงอายุ 20 ปีอาจเปลี่ยนแปลงแตกต่างออกไปในช่วงอายุ 30 หรือ 40 ปี อาการโดยทั่วไปจะรวมไปถึงอาการทางกายและอาการทางอารมณ์
- อาการทางกาย เช่น ท้องอืด อ่อนเพลีย ปวดท้อง คัดหน้าอก สิวขึ้น หรือปวดศีรษะ
- อาการทางอารมณ์ เช่น ขี้หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน วิตกกังวล เศร้าเสียใจ ซึมเศร้า สมองตื้อ ไม่มีสมาธิ อยากอาหารบางอย่าง หรืออยากอาหารมากขึ้นหรือน้อยลง อยากนอนกลางวันมากขึ้น นอนไม่หลับ ความต้องการทางเพศเปลี่ยนไป
อาการอารมณ์ผิดปกติก่อนมีประจำเดือน และอาการก่อนมีประจำเดือน เนื่องจากโรคอื่น ๆ แตกต่างกันอย่างไร?
กลุ่มอาการอารมณ์ผิดปกติก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual Dysphoric Disorder: PMDD) เป็นอาการที่รุนแรงกว่าอาการก่อนมีประจำเดือน ผู้หญิงที่มีอาการ PMDD มักจะรู้สึกโมโห ซึมเศร้ารุนแรงกว่าทั่วไป โดยผู้หญิงราว 2% จะมีอาการ PMDD
อาการก่อนมีประจำเดือนเนื่องจากโรคอื่น ๆ (Premenstrual Exacerbation: PME)
- โรคซึมเศร้าและวิตกกังวล ทำให้รู้สึกอารมณ์แปรปรวน รู้สึกเศร้า หงุดหงิดง่าย หรือต้องการแยกตัวออกจากสังคม ซึ่งมักรุนแรงมากขึ้นในช่วงที่มีประจำเดือน
- โรค Myalgic Encephalomyelitis (ME) หรือกลุ่มโรคอ่อนเพลียเรื้อรัง (Chronic Fatigue Syndrome: CFS) (ME/CFS) โดยจะมีอาการอ่อนเพลีย ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้ออาจรุนแรงมากขึ้นก่อนที่จะมีประจำเดือน ผู้ที่เป็นโรค ME/CFS อาจประจำเดือนมามากหรือเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนเร็ว
- โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) เช่น ท้องอืด มีลมในท้อง ปวดเกร็งที่ท้อง ซึ่งรุนแรงมากขึ้นก่อนมีประจำเดือน
อาการก่อนมีประจำเดือน เกิดจากสาเหตุอะไร
สาเหตุของอาการก่อนมีประจำเดือนนั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ปัจจัยที่อาจส่งผลให้เกิดอาการได้แก่
- ระดับฮอร์โมนแปรปรวนระหว่างรอบประจำเดือน
- ระดับเซโรเทนินไม่สมดุล การแปรปรวนของระดับเซราโทนิน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทควบคุมอารมณ์ อาจส่งผลให้รู้สึกอ่อนเพลีย อยากอาหาร หรือนอนหลับไม่สนิท
- โรคซึมเศร้า มักพบว่าผู้ที่มีอาการก่อนมีประจำเดือนที่รุนแรงมักป่วยเป็นโรคซึมเศร้าแต่ไม่เคยเข้ารับการตรวจวินิจฉัยมาก่อน อย่างไรก็ตามโรคซึมเศร้าไม่ได้ทำให้มีอาการก่อนมีประจำเดือนเสมอไป
อาการก่อนมีประจำเดือน วิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร
แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยจดบันทึกอาการที่มีเป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือนเพื่อสังเกตรูปแบบของอาการ
นอกจากนี้แพทย์จะซักประวัติและสอบถามถึงประวัติสุขภาพของคนในครอบครัว เพื่อตัดปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของอาการ เช่น โรคซึมเศร้า วิตกกังวล โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง โรคไทรอยด์ทำงานผิดปกติ วัยใกล้หมดระดู และการใช้ยา
อาการก่อนมีประจำเดือน สามารถรักษาด้วยวิธีใดบ้าง
1. การใช้ยา
- ยาต้านเศร้า Selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs) เช่น ยา fluoxetine ยา paroxetine และยา sertraline เป็นยากลุ่มแรกที่ช่วยรักษาอาการก่อนมีประจำเดือนรุนแรงโดยแพทย์อาจให้รับประทานยาทุกวันหรือเฉพาะช่วง 2 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน
- ยาปฏิชีวนะกลุ่ม NSAIDs เช่น ยา ibuprofen หรือยา naproxen sodium ซึ่งควรรับประทานก่อนหรือขณะมีประจำเดือนเพื่อบรรเทาอาการปวดท้องหรือคัดหน้าอก
- ยาขับปัสสาวะ ในกรณีที่การออกกำลังกายและการลดโซเดียม ไม่เพียงพอต่อการจัดการกับน้ำหนักตัว อาการบวม หรือท้องอืดเนื่องจากอาการก่อนมีประจำเดือน แพทย์อาจให้รับประทานยาขับปัสสาวะ เช่น ยา spironolactone เพื่อให้ร่างกายขับน้ำในร่างกาย
- ยาคุมกำเนิดแบบมีฮอร์โมน ช่วยป้องกันการตกไข่ บรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือนได้
2. การปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิต
ผู้ป่วยสามารถบรรเทาหรือลดอาการก่อนมีประจำเดือนได้โดยการปรับเปลี่ยนอาหารที่รับประทานและเริ่มออกกำลังกาย
3. การปรับเปลี่ยนอาหาร
- รับประทานอาหารมื้อเล็กลง บ่อยขึ้น เพื่อบรรเทาอาการท้องอืด
- ลดการบริโภคอาหารรสเค็มหรืออาหารที่มีโซเดียมสูง เพื่อป้องกันอาการท้องอืดหรือบวมน้ำ
- รับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ผัก ผลไม้ หรือธัญพืช
- เลือกรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง
- หลีกเลี่ยงการบริโภคคาเฟอีนและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
4. เริ่มออกกำลังกาย
เริ่มต้นเดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือออกกำลังกายแบบแอโรบิกเป็นเวลา 30 นาทีให้ได้เกือบทุกวัน การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้นและลดอาการอ่อนเพลียหรืออารมณ์แปรปรวนเนื่องจากอาการก่อนมีประจำเดือนได้
5. พยายามลดความเครียด
- กำหนดเวลานอนใหม่ โดยนอนให้เป็นเวลาและนอนอย่างมีคุณภาพ
- ฝึกโยคะ ฝึกการหายใจลึก ๆ หรือการคลายกล้ามเนื้อเพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะ วิตกกังวล และอาการนอนไม่หลับ
6. รับประทานวิตามิน เกลือแร่ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
- แคลเซียม จากการศึกษาพบว่าแคลเซียมช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลีย อาการอยากอาหาร และอาการซึมเศร้าเนื่องจากอาการก่อนมีประจำเดือน โดยอาหารที่มีแคลเซียมสูงได้แก่ นม ชีส โยเกิร์ต ขนมปังหรือซีเรียลเสริมแคลเซียม
- แมกนีเซียม งานวิจัยบางชิ้นระบุว่าแมกนีเซียมช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ ความเครียด ความวิตกกังวลที่เกิดจากอาการก่อนมีประจำเดือนได้ โดยแมกนีเซียมมักพบมากในผักใบเขียว ถั่วเปลือกแข็ง ธัญพืช
- วิตามินบี 6 จากการศึกษาพบว่าวิตามินบี 6 ช่วยบรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือนที่ไม่รุนแรงได้ โดยวิตามินบี 6 พบมากในปลา สัตว์ปีก มันฝรั่ง ผลไม้ที่ไม่มีรสเปรี้ยว
- กรดไขมันโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ช่วยบรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือนได้ โดยอาหารที่มีกรดไขมันเหล่านี้มาก ได้แก่ ปลา เมล็ดแฟล็กซ์ ถั่วเปลือกแข็ง ผักใบเขียว
- ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเสริมอาหาร เช่น สมุนไพรแบล็คโคฮอช เชสต์เบอร์รี่ น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ อย่างไรก็ตามควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย
7. จดบันทึกอาการเป็นเวลาอย่างน้อย 2-3 เดือน
เพื่อสังเกตรูปแบบและสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดอาการ ช่วยให้วางแผนจัดการกับอาการที่มีได้อย่างเหมาะสม
อาการก่อนมีประจำเดือน มีวิธีการป้องกันอย่างไร
อาการก่อนมีประจำเดือนนั้นไม่สามารถป้องกันได้ แต่อาจจัดการได้โดยการรับประทานยาหรือการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์
- จดบันทึกอาการที่มี
- จดรายการยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่กำลังรับประทาน
- จดเตรียมคำถามที่ต้องการถามแพทย์ ยกตัวอย่างเช่น
- อะไรที่ช่วยทำให้อาการดีขึ้นได้บ้าง
- อาการจะหายไปเองหรือไม่
- อาการที่มีเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรงหรือไม่
- ควรทำการรักษาด้วยวิธีใด
จดเตรียมคำตอบสำหรับคำถามที่แพทย์อาจจะสอบถาม ยกตัวอย่างเช่น
- อาการรุนแรงหรือไม่?
- ช่วงวันไหนที่มีอาการมากที่สุด?
- มีวันไหนที่ไม่มีอาการหรือไม่?
- สามารถคาดเดาได้หรือไม่ว่าจะมีอาการวันไหนบ้าง?
- มีปัจจัยอะไรที่ช่วยบรรเทาอาการหรือทำให้อาการแย่ลง?
- ขณะที่มีอาการยังทำกิจวัตรประจำวันได้เหมือนเดิมหรือไม่?
- รู้สึกเศร้า มีอาการซึมเศร้าหรือสิ้นหวังบ้างหรือไม่?
- มีคนในครอบครัวเป็นโรคทางจิตเวชบ้างหรือไม่?
- เคยถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคทางจิตเวชบ้างหรือไม่?
- เท่าที่ผ่านมาได้ลองทำการรักษาด้วยวิธีใดบ้าง ได้ผลหรือไม่?
คำถามที่พบบ่อย
- ฉันควรจะจัดการกับอาการก่อนมีประจำเดือนอย่างไร?
อาการก่อนมีประจำเดือนสามารถจัดการได้โดยการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตและการรับประทานยาอย่างเหมาะสม - อาการก่อนมีประจำเดือนมักจะเริ่มเมื่อไร?
ผู้หญิงแต่ละคนอาจเริ่มมีอาการก่อนมีประจำเดือนต่างกันไป โดยอาการอาจเริ่มตั้งแต่ 2 สัปดาห์หรือ 2 วันก่อนมีประจำเดือน ผู้หญิงแต่ละคนจึงควรสังเกตอาการของตนเอง
คำแนะนำจากแพทย์โรงพยาบาลเมดพาร์ค
สังเกตอาการก่อนมีประจำเดือนและดูว่าอะไรที่กระตุ้นให้เกิดอาการ จะช่วยให้จัดการกับอาการที่มีได้ หากอาการดังกล่าวส่งผลต่อการทำกิจวัตรประจำวัน การรับประทานยาหรือการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตสามารถช่วยบรรเทาอาการได้ หากการวิธีการดังกล่าวไม่ได้ผล ควรพูดคุยปรึกษาแพทย์ถึงทางเลือกอื่น ๆ