การแปลผลค่าความดันโลหิต
ความดันโลหิตประกอบด้วยตัวเลข 2 ค่า ค่าตัวบนหรือ ค่าซิสโตลิก (systolic) คือ แรงดันของเลือดขณะที่หัวใจกำลังสูบฉีดเลือดที่มีออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและค่าตัวล่างหรือ ค่าไดแอสโตลิก (diastolic) วัดแรงดันเลือดขณะที่หัวใจคลายตัว โดยจะวัดเป็นหน่วยมิลลิเมตรปรอท (มม./ปรอท) ความดันโลหิตช่วยทำให้ทราบได้ว่าหัวใจกำลังทํางานหนักเกินไปหรือไม่ เและยังช่วยทํานายได้ว่าผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคร้ายแรงอื่น ๆ เช่น โรคหลอดเลือดสมองหรือโรคหัวใจหรือไม่ การรักษาความดันโลหิตให้อยู่ในช่วงปกติเป็นสิ่งจำเป็นต่อสุขภาพที่แข็งแรง
ค่าความดันโลหิตที่ถูกต้องนั้นควรเป็นค่าเฉลี่ยจากการวัดหลาย ๆ ครั้ง ไม่ใช่จากการวัดเพียงครั้งเดียว จึงจะมีความถูกต้องแม่นยํา
ค่าความดันโลหิต
- ค่าความดันโลหิตที่ปกติ คือ
- ค่าซิสโตลิก (ค่าตัวบน) อยู่ระหว่าง 90-120 มม. ปรอท
- ค่าไดแอสโตลิก (ค่าตัวล่าง) อยู่ระหว่าง 60-80 มม. ปรอท
การรักษาความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีประวัติความดันโลหิตสูง การรักษาน้ำหนักตัวตามเกณฑ์และการดูแลสุขภาพสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้
- ค่าความดันโลหิตสูงเล็กน้อย คือ
- ค่าซิสโตลิก (ค่าตัวบน) อยู่ระหว่าง 120-129 มม. ปรอท
- ค่าไดแอสโตลิก (ค่าตัวล่าง) อยู่ที่ 80 มม. ปรอท
โดยผู้ที่มีค่าความดันโลหิตค่อนข้างสูงยังไม่จําเป็นต้องรับประทานยา อย่างไรก็ตามนี่ถือสัญญาณเตือนว่าจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต และเริ่มสุขนิสัยที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ เช่น การรับประทานอาหารสุขภาพและออกกําลังกายอย่างเป็นประจํา
- ค่าความดันโลหิตสูงระยะที่ 1 คือ
- ค่าซิสโตลิก (ค่าตัวบน) อยู่ระหว่าง 130 - 139 มม. ปรอท
- ค่าไดแอสโตลิก (ค่าตัวล่าง) อยู่ระหว่าง 80 -89 มม. ปรอท
การวัดแล้วพบว่ามีค่าความดันโลหิตสูงระดับที่ 1 เพียงครั้งเดียว ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าจะมีภาวะความดันโลหิตสูงระยะที่ 1 เสมอไป โดยค่าที่ควรนำมาพิจารณานั้นควรเป็นค่าเฉลี่ยของการวัดความดันโลหิตและติดตามผลจากการวัดหลาย ๆ ครั้ง
ผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำ แพทย์จะแนะนําให้เริ่มปรับเปลี่ยนสุขนิสัยและนัดติดตามผลภายใน 3-6 เดือน
ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป แพทย์จะทำการพูดคุยเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม โดยพบว่าภาวะสมองเสื่อมและปัญหาด้านความทรงจําในผู้สูงอายุมักดีขึ้นเมื่อได้รับการรักษาโรคความดันโลหิตสูง
- ค่าความดันโลหิตสูงระดับที่ 2 ถือเป็นปัญหาสุขภาพที่รุนแรง โดยจะมีค่าดังต่อไปนี้
- ค่าซิสโตลิก (ค่าตัวบน) สูงกว่า 140 มม. ปรอท และ
- ค่าไดแอสโตลิก (ค่าตัวล่าง) สูงกว่า 90 มม. ปรอทขึ้นไป
แพทย์จะให้รับประทานยาหนึ่งชนิดหรือมากกว่าเพื่อควบคุมความดันโลหิต อย่างไรก็ตามการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้มีสุขนิสัยที่ดีก็ยังเป็นเรื่องจำเป็น
- ภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต
ภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤตเกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีค่าความดันโลหิตสูงกว่า 180/120 มม. ปรอท อาจเป็นไปได้ว่าค่าที่สูงนิ้อาจเป็นค่าเพียงชั่วคราวและความดันโลหิตอาจกลับเป็นปกติในภายหลัง จึงควรทำการวัดค่าความโลหิตอีกเป็นครั้งที่ 2 หลังผ่านไป 2-3 นาทีเพื่อยืนยันค่าที่แท้จริง ภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤตเป็นข้อบ่งชี้ของภาวะสุขภาพที่ร้ายแรง ซึ่งต้องได้รับการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน
โดยผู้ป่วยอาจมีอาการปวดหัว เจ็บหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย การมองเห็นเปลี่ยนไป มีเลือดปนในปัสสาวะ สูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าหรือเป็นอัมพาต
การรักษา
แพทย์จะทำการพิจารณาค่าความดันโลหิต การใช้ชีวิต และดูว่าผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ด้วยหรือไม่ เพื่อทำการวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
- ภาวะค่าความดันโลหิตค่อนข้างสูง
ผู้ป่วยยังไม่ต้องรับประทานยา เป้าหมายหลักของการรักษาคือการปรับเปลี่ยนกิจกรรมประจําวันเพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยจะได้รับการแนะนําให้- รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะมากขึ้น
- ออกกําลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ลดน้ำหนักหากน้ำหนักตัวเกินมาตราฐานหรือเป็นโรคอ้วน
- ค่าความดันโลหิตสูงระดับที่ 1
ผู้ป่วยควรจะ- บริโภคเกลือหรือโซเดียมให้น้อยลง
- จัดการความเครียด
- รับประทานยาหากค่าความดันโลหิตยังคงไม่ดีขึ้นหลังจากการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตเป็นเวลา 1 เดือน
- ค่าความดันโลหิตสูงระดับที่ 2
ผู้ป่วยจะต้องปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้ถูกสุขลักษณะ พร้อมกับรับประทานยาอย่างน้อยหนึ่งชนิดเพื่อลดความดันโลหิต- ยา ACE inhibitors หรือยา ARB เพื่อยับยั้งสารที่ทําให้หลอดเลือดหดตัวแคบลง
- ยาต้านอัลฟ่า (Alpha blockers) เพื่อขยายและคลายหลอดเลือดแดง
- ยาต้านเบต้า (Beta-blockers) เพื่อชะลออัตราการเต้นของหัวใจ
- ยา Calcium channel blockers เพื่อป้องกันไม่ให้แคลเซียมเข้าสู่หลอดเลือดหัวใจ ทำให้หลอดเลือดขยายตัว
- ยาขับปัสสาวะเพื่อลดปริมาณน้ำในหลอดเลือดดําและหลอดเลือดแดง
- ภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต
จําเป็นต้องได้รับการรักษาโดยทันที เช่น รับประทานยาหรือให้ยาทางหลอดเลือดดำ
การป้องกัน ภาวะความดันโลหิตที่ไม่ปกติ
การรักษาค่าความดันโลหิตให้เป็นปกติเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ของโรคความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ ผู้ที่อายุมากกว่า 50 ปี ค่าความดันซิสโตลิกมักจะสูงขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ มากขึ้น
เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูง สามารถปฏิบัติตามมาตรการป้องกันได้ดังนี้
- ผู้ที่มีสุขภาพดีเป็นปกติควรบริโภคโซเดียมน้อยกว่า 2,300 มิลลิกรัม (มก.) ต่อวัน และผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงควรบริโภคโซเดียม น้อยกว่า 1,500 มก. ต่อวัน หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปที่มีโซเดียมสูงและอย่าเหยาะเกลือหรือน้ำปลาเพิ่ม
- ออกกําลังกายเป็นเวลา 20-30 นาทีทุกวัน
- รักษาน้ำหนักตัวตามเกณฑ์ การลดน้ำหนักตัวลง 2-5 กิโลกรัมสามารถช่วยทำให้ความดันโลหิตดีขึ้นได้
- บริโภคคาเฟอีนให้น้อยลง เนื่องจากคาเฟอีนนั้นมีผลต่อความดันโลหิต
- จัดการความเครียด โดยการเล่นโยคะ นั่งสมาธิ หรือฝึกการหายใจ
- เลิกสูบบุหรี่
- จํากัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ภาวะความดันเลือดต่ำ
ภาวะความดันโลหิตต่ำเกิดขึ้นเมื่อค่าความดันโลหิตอยู่ที่ 90/60 มม. ปรอทหรือน้อยกว่าและมีอาการของความดันโลหิตต่ำ นั่นหมายความว่าร่างกายและหัวใจอาจไม่ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะได้
สาเหตุที่ของภาวะความดันโลหิตต่ำ ได้แก่
- ภาวะทุพโภชนาการ
- การตั้งครรภ์
- การดื่มน้ำไม่เพียงพอ
- การเสียเลือด
- โรคหัวใจ
- การติดเชื้อในกระแสเลือด
- อาการแพ้อย่างรุนแรง
- โรคต่อมไร้ท่อ
- การใช้ยา
ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
บทความโดย
พญ.ประภาพร พิมพ์พิไล
อายุรกรรมทั่วไป
ประวัติแพทย์