ประจำเดือน เป็นเรื่องของผู้หญิงทุกคน อาการปวดประจำเดือน ก็เป็นน่าเบื่อหน่ายสำหรับผู้หญิงหลาย ๆ คนที่ต้องอดทน โดยที่ใครไม่เจอกับตัว ก็ไม่รู้ถึงความทรมานของความเจ็บปวดนี้แน่นอน
10 ข้อควรรู้เกี่ยวกับการ "ปวดประจำเดือน"
- อาการปวดประจำเดือนเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงหรือไม่
ใช่ : อาการปวดประจำเดือนมักพบได้บ่อยถึง 50-90% ของหญิงวัยเจริญพันธุ์ ส่วนใหญ่พบในหญิงอายุน้อย โดยทั่วไปอาการปวดประจำเดือนมักบรรเทาหรือน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น หากอาการมากขึ้นตามอายุ อาจจะเป็นเพราะมีโรคบางอย่างซ่อนอยู่ แนะนำให้ไปพบแพทย์ - อาการปวดประจำเดือนเกิดจากสาเหตุอะไร
อาการปวดประจำเดือนเกิดจากสารที่ชื่อโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ซึ่งเป็นสารเกี่ยวกับการอักเสบ การไหลเวียนของเลือด การแข็งตัวของเลือด และการคลอดบุตร โพรสตาแกลนดินหลั่งออกมาจากเยื่อบุโพรงมดลูกพร้อมกับประจำเดือน - อาการปวดประจำเดือนมีลักษณะเช่นไร
อาการปวดประจำเดือนเป็นอาการปวดซึ่งเกิดจากการบีบตัวของมดลูก มักมีลักษณะดังนี้- ปวดไม่เป็นจังหวะ
- ปวดถี่ ๆ มดลูกบีบ 4 - 5 ครั้ง ใน 10 นาที
- มักจะเริ่มจากปวดน้อย ๆก่อนแล้วค่อย ๆ แรงขึ้น
- ปวดคล้ายกับการปวดเวลาคลอดบุตร แต่อาจไม่รุนแรงเท่า
- ปัจจัยเสี่ยงใดที่อาจจะทำให้อาการปวดประจำเดือนแย่ลง
การสูบบุหรี่และความเครียด - อาการปวดประจำเดือนแบ่งได้ออกเป็นกี่ประเภท
ทางการแพทย์นั้นได้แบ่งอาการปวดประจำเดือนออกเป็น 2 ประเภท- ปฐมภูมิ (Primary)
- ปวดเฉพาะช่วงที่มีประจำเดือน
- อาการปวดมักสั้นและหายได้เองภายใน 12 ถึง 72 ชั่วโมง
- มักปวดตอนอายุน้อย ๆ อาการจะบรรเทาหรือดีขึ้นตามอายุ
- ทุติยภูมิ (Secondary)
- อาการปวดอาจเริ่มก่อนประจำเดือนจะมา หรือหลังประจำเดือนหมดไปแล้วยังไม่หาย
- มักปวดมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น หรือปวดมากขึ้นเรื่อยๆ
- มักมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ประจำเดือนผิดปกติ ปวดเวลาอื่นร่วมด้วย คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ หรือ ภาวะมีบุตรยาก เป็นต้น
- การปวดแบบนี้มักมีพยาธิสภาพบางอย่าง เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ แนะนำให้ไปพบแพทย์
- ปฐมภูมิ (Primary)
- หากมีอาการปวดประจำเดือนแปลว่าป่วยเป็นโรคบางอย่างหรือไม่
กรณีปวดแบบปฐมภูมิ มักไม่มีโรคและไม่ต้องทำอะไร
กรณีปวดแบบทุติยภูมิ หรือไม่เคยปวดมาก่อน แล้วมาปวดตอนอายุมากขึ้นและปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ให้ระวังว่าอาจจะมีโรคอะไรซ่อนอยู่ เช่น- เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ไปที่รังไข่ หรือที่เรียกว่า ช็อคโกแลตซีสต์ นั่นเอง
- เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ไปที่กล้ามเนื้อมดลูก
- ก้อนเนื้อมดลูก
- อุ้งเชิงกรานอักเสบติดเชื้อ เป็นต้น
- เมื่อมีอาการปวดประจำเดือน ควรรับประทานยาแก้ปวดชนิดใด และหากรับประทานติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจะเกิดผลเสียหรือไม่
ยาแก้ปวดประจำเดือนที่นิยมใช้ แบ่งออกเป็น- ยาในกลุ่มที่มีตัวยาพาราเซตามอล
- แก้ปวดได้ทุกสิ่ง รวมไปถึงการปวดประจำเดือน
- ช่วยลดปวดได้ประมาณ 50%
- ผลข้างเคียงต่ำมาก หากไม่รับประทานเกินขนาด
- แนะนำรับประทานครั้งละ 500 mg (1-2เม็ด ขึ้นกับน้ำหนักตัว) ห่างทุก 6 ชั่วโมง
- ยาแก้ปวดลดอักเสบชนิด NSAIDs มีหลายชนิด แต่ที่แนะนำเพื่อลดปวดประจำเดือน คือ Mefenamic Acid
- ยาในกลุ่ม Mefenamic Acid
- แนะนำรับประทานเริ่มต้นที่ 500 mg ก่อน แล้วอาจตามด้วย 250 mg ทุก 6 ชั่วโมง
- รับประทานช่วงที่มีประจำเดือน แต่ไม่ควรเกิน 3 วัน
- ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงที่ใช้ยาคือยาอาจกัดกระเพาะอาหาร จึงควรทานยาหลังมื้ออาหาร
- ยากลุ่ม COX-2 selective NSAIDs
- สามารถใช้ได้ในคนไข้โรคกระเพาะ
- ข้อเสียคือมีราคาแพง
- ยาในกลุ่ม Mefenamic Acid
- ยาในกลุ่มที่มีตัวยาพาราเซตามอล
- ยาคุมกำเนิดสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้จริงหรือไม่
ยาฮอร์โมนคุมกำเนิดสามารถช่วยลดปวดประจำเดือนได้- ยาฮอร์โมนรวม (เอสโตรเจนกับโปรเจสเตอโรน)
- สำหรับคนที่ปวดประจำเดือน (และยังไม่ต้องการมีบุตร) ยาฮอร์โมนคุมกำเนิดที่แนะนำเป็นทางเลือกแรกคือยาฮอร์โมนรวม
- มีทั้งแบบยาเม็ด แบบห่วง (vaginal ring) และแบบแผ่นแปะ (patch)
- ยาฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนอย่างเดียว
- อาจมีผลข้างเคียงเรื่องเลือดออกกะปริดกะปอย
- อยู่ในรูปแบบยาฉีด
- ยาฮอร์โมนรวม (เอสโตรเจนกับโปรเจสเตอโรน)
ส่วนยาฝังคุมกำเนิด หรือห่วงคุมกำเนิดแบบมีฮอร์โมน ยังไม่ค่อยแนะนำให้ใช้เพื่อลดอาการปวดประจำเดือนอย่างเดียว
- อาการปวดประจำเดือนสัมพันธ์กับภาวะมีบุตรยากหรือไม่
อาการปวดประจำเดือนสัมพันธ์กับภาวะมีบุตรยากจริง แต่ไม่เสมอไป คนที่ปวดประจำเดือนอันมีสาเหตุมาจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่หรืออุ้งเชิงกรานอักเสบจะมีภาวะมีบุตรยากกว่าคนทั่วไป
- เมื่อมีอาการปวดประจำเดือนมากผิดปกติควรปฏิบัติตัวเช่นไร มีการตรวจรักษาประเภทใดบ้าง
- ไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีโรคบางอย่างซ่อนอยู่
- การตรวจวินิจฉัย ได้แก่ การตรวจภายในและการอัลตราซาวน์อุ้งเชิงกราน
การอัลตราซาวน์อุ้งเชิงกราน (หรือช่องท้องส่วนล่าง) สามารถทำผ่านหน้าท้องได้ แต่การอัลตราซาวน์ทางช่องคลอดจะสามารถเห็นภาพได้ชัดเจนกว่า อย่างไรก็ตาม การตรวจเช่นนี้ยังสามารถบอกรอยโรคบางอย่างหรือพังผืดในช่องท้องได้ - หากตรวจพบโรคที่ผิดปกติ แนะนำให้รักษา โดยวิธีการรักษานั้นขึ้นอยู่กับตัวโรค เช่น
- เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ที่รังไข่ (หรือช็อคโกแลตซีสต์) ควรได้รับการผ่าตัด หรืออาจให้ฮอร์โมนได้ในกรณีที่ซีสต์มีขนาดเล็ก
- ก้อนเนื้อมดลูก ควรได้รับการผ่าตัดหากอาการรบกวนชีวิตประจำวัน หรือเมื่อรักษาด้วยยาไม่ได้ผล เป็นต้น
- หากไม่พบโรคใด ๆ สามารถทานยาแก้ปวดหรือยาฮอร์โมนภายใต้คำแนะนำของแพทย์
บทความโดย
พญ.อสมา วาณิชตันติกุล
สูตินรีแพทย์ ผู้ชำนาญการด้านมะเร็งวิทยานรีเวชและผ่าตัดส่องกล้องทางนรีเวช
ประวัติแพทย์