การสวนหัวใจและหลอดเลือด (Interventional Cardiology)
หลอดเลือดและหัวใจ เป็นอวัยวะที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากเป็นหนึ่งในวงจรการลำเลียงเลือด และสารอาหารอื่น ๆ จากหัวใจไหลผ่านหลอดเลือดแดงไปเลี้ยงอวัยวะทุกส่วนทั่วร่างกาย ก่อนจะไหลกลับมาสู่หัวใจอีกครั้งผ่านทางหลอดเลือดดำ แต่ถ้าหากเส้นเลือดหัวใจเกิดการตีบหรืออุดตันจากการสะสมของหินปูน คราบไขมัน โปรตีน หรือเนื้อเยื่อต่าง ๆ ภายในผนังหลอดเลือดแดงชั้นใน จะส่งผลให้หัวใจทำงานหนักมากขึ้น หรือถ้าเส้นเลือดมีการตีบตันรุนแรงในระดับที่เลือดไม่สามารถไหลเข้าไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ ก็จะนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และเสียชีวิตได้
จากการรายงานของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ในปี 2565 มีคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด สูงถึง 7 หมื่นราย หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 8 คน และยังมีแนวโน้มว่าตัวเลขจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี
ดังนั้น หากคนไข้มีสัญญาณของภาวะหลอดเลือดตีบหรืออุดตันต่าง ๆ เช่น เจ็บหน้าอก หอบเหนื่อยง่ายผิดปกติ นอนราบไม่ได้ หมดสติ หรือหัวใจหยุดเต้น หนึ่งในแพทย์ที่ทำหน้าที่ตรวจ ประเมิน วินิจฉัย และรักษาได้ทันท่วงทีภายในช่วงเวลาทอง โดยไม่ต้องผ่าตัดเปิดหน้าอก คือ แพทย์เฉพาะทางด้านการสวนหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งมีชื่อเรียกในกลุ่มแพทย์หัวใจว่า “ช่างประปาหัวใจ” หรือ “นักมัณฑนากรหัวใจ” ทำหน้าที่หลักในการค้นหาจุดที่มีการตีบหรืออุดตันภายในเส้นเลือด แล้วจัดการกำจัดอุปสรรคที่กีดขวางการไหลเวียนเลือดด้วยเทคนิคต่าง ๆ รวมถึงทำการตกแต่งเส้นทางภายในผนังหลอดเลือดชั้นใน เพื่อเปิดทางให้เลือดไหลเวียนเข้าไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ดีอีกครั้ง
นอกจากนี้ เทคนิคการรักษาด้วยวิธีสวนหัวใจและหลอดเลือด ยังสามารถนำไปใช้ในการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดชนิดอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การสวนหัวใจและหลอดเลือด คืออะไร?
การสวนหัวใจและหลอดเลือด เป็นหนึ่งในวิธีที่สามารถตรวจ วินิจฉัย และรักษาภาวะความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด ทั้งชนิดเฉียบพลัน และชนิดเรื้อรัง ด้วยการสอดสายสวนและอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าไปยังหลอดเลือดจุดที่ตีบหรือตัน เพื่อรักษาภาวะผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
การตรวจประเมินและทำหัตถการผ่านสายสวนมีการรุกล้ำร่างกายน้อยมาก มีเพียงแผลขนาดเล็กประมาณ 2 มิลลิเมตร บริเวณข้อมือ หรือขาหนีบ ซึ่งเป็นจุดที่แพทย์สอดสายสวนและอุปกรณ์รักษาต่าง ๆ เข้าไปในเส้นเลือดแดง เป็นการรักษาที่ใช้เวลาในการทำหัตถการประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง ให้ผลลัพธ์ที่ดี มีระยะพักฟื้นในโรงพยาบาลสั้น เสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนต่ำ คนไข้สามารถกลับไปทำกิจกรรม หรือใช้ชีวิตตามปกติได้เร็วกว่าการผ่าตัดชนิดอื่น
ทำไมควรเลือกรักษากับแพทย์เฉพาะทางด้านการสวนหัวใจและหลอดเลือด ที่เมดพาร์ค
- แพทย์เฉพาะทางด้านการสวนหัวใจและหลอดเลือดของเมดพาร์ค มีทักษะและประสบการณ์ในการรักษาโรคและความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือดระดับอาจารย์แพทย์ สามารถวินิจฉัยและรักษาโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบบางส่วน โรคหลอดเลือดหัวใจตัน 100% โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบและตัน ซึ่งเป็นโรคที่มีความยากและซับซ้อนสูง ต้องอาศัยความแม่นยำ และละเอียดรอบคอบในการรักษาภายในเวลาจำกัด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ทำงานเป็นทีมร่วมกับแพทย์เฉพาะทางสาขาที่มีความเกี่ยวข้อง เช่น ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก นักรังสีการแพทย์ และสหวิชาชีพที่มีประสบการณ์ในการร่วมรักษาด้วยการสวนหัวใจและหลอดเลือด บุคลากรที่ดีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในระหว่างการทำหัตถการ รวมถึงช่วยให้คนไข้สามารถฟื้นฟูสุขภาพร่างกายให้กลับมาใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้เร็วขึ้น
- โรงพยาบาลเมดพาร์ค มีความพร้อมในการรักษาคนไข้โรคหัวใจและหลอดเลือดในทุกสถานการณ์ มีห้องปฏิบัติการสวนหัวใจและหลอดเลือด (Cath Lab) ที่มีเทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาของแพทย์เฉพาะทางด้านการสวนหัวใจและหลอดเลือดให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้น หากมีความจำเป็นต้องทำหัตถการที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ก็สามารถเลือกทำการรักษาภายในห้องผ่าตัดไฮบริด (Hybrid OR) ซึ่งมีเทคโนโลยีการฉายภาพทางรังสีแบบ 2 ระนาบ สามารถเห็นภาพอวัยวะและหลอดเลือดต่าง ๆ ในขณะทำหัตถการได้อย่างคมชัด ช่วยให้แพทย์เฉพาะทางด้านการสวนหัวใจและหลอดเลือดทำการสวนหลอดเลือดหัวใจหรือหลอดเลือดส่วนอื่น ๆ ร่วมกับศัลยแพทย์โรคทรวงอกและหลอดเลือด เพื่อทำการผ่าตัดด้วยเทคนิคขั้นสูงได้ในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความแม่นยำในการสวนหัวใจและหลอดเลือด ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างผ่าตัดได้ดี
โรคและภาวะผิดปกติ ที่รักษาได้ด้วยการสวนหัวใจและหลอดเลือด
- กลุ่มโรคหัวใจพิการ หรือหัวใจผิดปกติแต่กำเนิด เช่น
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติ
- การเชื่อมกันระหว่างหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำ
- รูรั่วระหว่างผนังกั้นหัวใจห้องล่าง
- โรคลิ้นหัวใจ เช่น ลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ
- โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
- โรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตัน
- โรคหลอดเลือดแดงคาโรติดตีบหรือตัน
- โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ เช่น หลอดเลือดแดงเลี้ยงไต หลอดเลือดแดงเลี้ยงขา เป็นต้น
- ภาวะหลอดเลือดแข็ง
- ภาวะหลอดเลือดดำบกพร่องเรื้อรัง
- ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน
สัญญาณผิดปกติที่ควรมาพบแพทย์เฉพาะทางด้านการสวนหัวใจและหลอดเลือด
- แน่นหน้าอก โดยเฉพาะขณะออกแรง หรือออกกำลังกาย
- หอบ หรือเหนื่อยง่าย ส่งผลให้ทำกิจวัตรประจำวันได้น้อยลง
- หายใจลำบาก หายใจไม่อิ่ม นอนราบไม่ได้
- ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว
- เป็นลมหมดสติ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- แขน ขา เท้าบวม
- ปวดจุกบริเวณลิ้นปี่ คล้ายโรคกระเพาะ หรือกรดไหลย้อน
- ปวดร้าวบริเวณกราม แขนซ้าย แขนขวา หรือปวดข้ามไปด้านหลัง
ใครที่มีปัจจัยเสี่ยงต่ออาการเหล่านี้?
ปัจจุบัน มีแนวโน้มพบคนไข้โรคหัวใจและหลอดเลือดที่มีอายุน้อยลงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงบอกได้ว่า ช่วงวัยที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด จึงไม่ใช่แค่ เพศชาย อายุ 35 ปีขึ้นไป หรือเพศหญิง อายุ 45 ปีขึ้นไปอีกต่อไป ยิ่งถ้าหากมีไลฟ์สไตล์ และพฤติกรรมที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น รับประทานอาหารไขมันสูง มีภาวะน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ ไม่ออกกำลังกาย สูบบุหรี่ หรือมีความเสี่ยงของโรคในกลุ่ม NCDs ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดสูงขึ้นอีก
ดังนั้น หากพบสัญญาณผิดปกติ ควรเข้าพบแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจและหลอดเลือด เพื่อตรวจประเมินด้วยวิธีที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด หรือถ้าหากคนในครอบครัวมีประวัติป่วยด้วยโรคหัวใจ ยิ่งจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจประเมินสุขภาพกับแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง จึงจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดี
บริการตรวจวินิจฉัย
การตรวจประเมินหลอดเลือดและหัวใจชนิดไม่รุกล้ำร่างกาย คือ ไม่มีการทำหัตถการที่มีการเปิดผิวหนัง ไม่ทำให้เกิดแผล และไม่สอดใส่อุปกรณ์ใด ๆ เข้าไปภายในร่างกาย มีหลายวิธี แตกต่างกันไปตามภาวะของโรคและการพิจารณาของแพทย์ ดังนี้
- การตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการออกกำลัง
- การตรวจหัวใจด้วยเครื่องสะท้อนเสียงความถี่สูง
- การตรวจหัวใจด้วยสารกัมมันตรังสีก่อนและหลังออกกำลังกาย
- การตรวจหัวใจด้วยคลื่นวิทยุและสนามแม่เหล็กไฟฟ้า
- การตรวจหัวใจและหลอดเลือดด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์
- การตรวจหาหินปูนในเส้นเลือดหัวใจ
- การตรวจวินิจฉัยโรคและประเมินความรุนแรงของภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตัน
- การตรวจหัวใจด้วยเตียงปรับระดับเพื่อประเมินสาเหตุของภาวะหน้ามืดเป็นลมหมดสติ
- การบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจต่อเนื่องหลายวัน
- การตรวจหาความเสี่ยงอื่น ๆ ที่มีผลต่อการทำงานของหัวใจ เช่น การวัดความดันโลหิต ต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง เป็นต้น
การตรวจสวนหัวใจและหลอดเลือด
การตรวจสวนหัวใจและหลอดเลือด เป็นการตรวจหลอดเลือดหัวใจชนิดที่มีการรุกล้ำร่างกาย โดยแพทย์จะทำการสอดท่อเล็ก ๆ ขนาดประมาณ 2 มิลลิเมตร เข้าไปในเส้นเลือดแดงบริเวณข้อมือ หรือขาหนีบ ก่อนจะฉีดสารทึบรังสีเข้าไปยังเส้นเลือดหัวใจ พร้อมทำการเอกซเรย์ เพื่อตรวจประเมินว่าเส้นเลือดหัวใจจุดใดมีการตีบหรือตันรุนแรงในระดับใด รวมทั้งยังสามารถตรวจสอบการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจและลิ้นหัวใจ เพื่อวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการตรวจสวนหัวใจและหลอดเลือดมีประโยชน์ต่
การรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดได้หลายวิธี เช่น
- การขยายหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตัน ด้วยการทำบอลลูนหรือใส่ขดลวด
- การขยายลิ้นหัวใจไมทรัลด้วยการทำบอลลูน
- การเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกเทียมผ่านสายสวนหัวใจ
- การรักษาโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เช่น การอุดรอยรั่วของผนังกั้นห้องหัวใจ การอุดรอยรั่วของเส้นเลือดแดงเกินผิดปกติของปอดและหัวใจ เป็นต้น
- การขยายหลอดเลือดส่วนปลายที่มีการตีบหรือตัน
- การสลายหินปูนในหลอดเลือดหัวใจด้วยคลื่นกระแทก ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่แรกในประเทศไทย ที่รักษาภาวะหินปูนในหลอดเลือดหัวใจได้ผลสำเร็็จ
ปกติแล้วแพทย์เฉพาะทางด้านการสวนหัวใจและหลอดเลือด จะทำหัตถการภายใน ห้องปฏิบัติการสวนหัวใจ (Cath Lab) ซึ่งมีเทคโนโลยีและเครื่องมือแพทย์ พร้อมสำหรับการรักษาด้วยเทคนิคนี้โดยเฉพาะ
แต่ถ้าหากแพทย์พิจารณาแล้วว่าหัตถการนั้น ๆ มีความจำเป็นต้องรักษาร่วมกันหลายเทคนิค หรือมีแนวโน้มปรับเปลี่ยนการรักษาจากการสวนหัวใจเป็นการผ่าตัดแบบอื่น แพทย์จะเลือกทำหัตถการภายใน ห้องผ่าตัดไฮบริด (Hybrid OR) ซึ่งมีความพร้อมมากกว่า สามารถปรับเปลี่ยนการทำหัตถการได้ทันทีโดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายคนไข้จากห้องปฏิบัติการสวนหัวใจไปยังห้องผ่าตัดอื่น รวมถึงยังสามารถทำการรักษาร่วมกับแพทย์เฉพาะทางที่เกี่ยวข้อง เช่น ศัลยแพทย์ทรวงอกและหลอดเลือด และบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมากได้อย่างคล่องตัว สามารถลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเคลื่อนย้ายคนไข้ และช่วยให้คนไข้ได้รับการรักษาที่มีความต่อเนื่องได้ทันท่วงที
อุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ ที่ใช้ในการสวนหัวใจและหลอดเลือด
มีด้วยกันหลายชนิด แตกต่างไปตามลักษณะของโรค และแนวทางการรักษาของแพทย์ เช่น
- สายสวนหัวใจ
- บอลลูน
- ขดลวดขนาดต่าง ๆ
- หัวกรอหินปูน
- เทคโนโลยีการมองภาพภายในหลอดเลือด
อุปสรรคและข้อจำกัดในการสวนหัวใจและหลอดเลือด
- เส้นเลือดมีขนาดเล็กมากจนไม่สามารถสอดสายสวนได้
- เส้นเลือดบริเวณข้อมือหรือขาหนีบ อุดตัน 100% ต้องเปลี่ยนไปสอดสายสวนจากเส้นเลือดแดงในจุดอื่น เช่น ข้อพับแขน เส้นเลือดแดงคอ เป็นต้น
- เส้นเลือดแข็ง ทำให้ไม่สามารถสอดสายสวนได้
- คนไข้ภาวะสมองเสื่อมที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ อาจมีการขยับร่างกาย หรือไม่ทำตามคำแนะนำของแพทย์ในขณะทำหัตถการ
- คนไข้มีค่าไตสูง หรือมีประวัติแพ้อาหารทะเล ซึ่งอาจมีผลกระทบในขั้นตอนการฉีดสารทึบรังสี ที่เป็นสารไอโอดีน
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้จากการสวนหัวใจและหลอดเลือด
การสวนหัวใจและหลอดเลือด เป็นการรักษาที่มีความปลอดภัยสูง มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ราว 2% และมีอัตราการเสียชีวิตเพียง 0.01% เท่านั้น โดยอาการแทรกซ้อนที่อาจพบได้ คือ
- แพ้สารทึบรังสี
- ปวด หรือบวมบริเวณจุดสอดสายสวน
- มีเลือดไหลซึมบริเวณจุดสอดสายสวน
- ติดเชื้อบริเวณแผลสอดสายสวน
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- เกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ
- เกิดลิ่มเลือดอุดตันในสมอง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการผ่าตัดสวนหัวใจ
- มีโอกาสเสียชีวิตจากการรักษาด้วยการสอดสายสวนหัวใจหรือไม่?
มีโอกาส แต่พบอุบัติการณ์การเสียชีวิตจากการรักษาชนิดนี้เพียง 0.01% เท่านั้น - อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ตรวจประเมินสุขภาพหัวใจ มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดหรือไม่?
ปัจจุบัน มีแนวโน้มพบโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มคนอายุน้อยลง หากพบสัญญาณผิดปกติ ควรรีบไปโรงพยาบาลและเข้ารับการตรวจประเมินโรคหัวใจโดยเร็วที่สุด - คนทั่วไปสามารถเฝ้าระวังความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดได้หรือไม่?
ได้ ด้วยการเช็กสุขภาพพื้นฐานเป็นประจำ เช่น วัดความดัน ตรวจไขมัน ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด และประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดตามคำแนะนำของแพทย์ - การรักษาด้วยการสวนหัวใจและหลอดเลือด ต้องดมยาสลบหรือไม่?
ไม่ต้อง แพทย์จะทำการฉีดยาชาบริเวณที่ใส่สายสวนเท่านั้น ยกเว้นคนไข้ที่ไม่สามารถสื่อสารกับแพทย์ได้ เช่น คนไข้ภาวะสมองเสื่อม แพทย์จะพิจารณาให้ดมยาสลบเป็นราย ๆ ไป