เลือกหัวข้อที่อ่าน
- อาการของโรคเหงือกอักเสบ
- สาเหตุของโรคเหงือกอักเสบ
- ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคเหงือกอักเสบ
- การป้องกันโรคเหงือกอักเสบ
- การตรวจวินิจฉัยโรคเหงือกอักเสบ
- การรักษาโรคเหงือกอักเสบ
โรคเหงือกอักเสบ
เมื่อเป็นโรคเหงือกอักเสบ ซึ่งเป็นโรคในช่องปากที่พบได้บ่อยและอาการไม่รุนแรง เหงือกจะบวม แดง รู้สึกเจ็บระคายเคือง ควรได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจจะทำเป็นโรคปริทันต์หรือสูญเสียฟัน
การดูแลทำความสะอาดช่องปากอย่างไม่เหมาะสมเป็นสาเหตุของโรคเหงือกอักเสบ การแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟัน และพบทันตแพทย์ตามนัดประจำปีจะช่วยป้องการเกิดโรคได้
อาการของโรคเหงือกอักเสบ
เหงือกที่มีสุขภาพดีจะมีชมพูอ่อน แน่น ชิดรอบฟัน เมื่อเหงือกอักเสบ มักจะมีอาการดังต่อไปนี้
- เหงือกบวม กดเจ็บ มีสีแดงเข้ม
- เลือดออกง่ายขณะใช้ไหมขัดฟันหรือแปรงฟัน
- เหงือกร่น
- มีกลิ่นปาก
ควรไปพบทันตแพทย์เมื่อเริ่มมีอาการของโรคเหงือกอักเสบดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โรคเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์สามารถป้องกันได้หากได้รับการดูแลทางทันตกรรมอย่างสม่ำเสมอ
สาเหตุของโรคเหงือกอักเสบ
โรคเหงือกอักเสบเป็นผลจากการดูแลสุขภาพช่องปากที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดการสะสมของคราบจุลินทรีย์และเหงือกบวมอักเสบ
- คราบจุลินทรีย์ คราบจุลินทรีย์เกิดจากการทำปฎิกิริยาระหว่างแบคทีเรียกับอาหารประเภทแป้งหรือน้ำตาล มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า มีลักษณะเป็นฟิล์มเหนียวเคลือบฟัน ควรแปรงฟันเพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์ออกทุกวันเพราะคราบจะกลับเกาะมาที่ฟันได้ง่าย
- หินปูน หินปูนหรือหินน้ำลายคือคราบจุลินทรีย์ที่แข็งตัวติดแน่นอยู่ตามบริเวณร่องเหงือก สร้างความระคายเคือง และจำเป็นต้องให้ทันตแพทย์ขูดออกให้เท่านั้น
- ร่องเหงือกอักเสบ เมื่อมีการสะสมของคราบหินปูนมากจนสร้างความระคายเคืองให้เหงือก เหงือกจะเริ่มบวม อักเสบ เลือดออกได้ง่าย และอาการอาจลุกลามทำให้ฟันผุ หากปล่อยทิ้งไว้ ไม่รักษาเหงือกอักเสบ อาจจะทำให้เป็นโรคปริทันต์และฟันอาจจะหลุดไปในที่สุด
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคเหงือกอักเสบ
โรคเหงือกอักเสบเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย โดยโอกาสเกิดโรคจะสูงขึ้นเมื่อพบว่ามีปัจจัยดังต่อไปนี้ร่วมด้วย
- การดูแลช่องปากที่ไม่เหมาะสม
- ปากแห้ง
- การเคี้ยวยาสูบหรือสูบบุหรี่
- ภาวะทุพโภชนาการและการขาดวิตามินซี
- อายุที่มากขึ้น
- การอุดฟันที่ไม่เหมาะสม หรือฟันเก
- โรคประจำตัว เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคภูมิคุ้มกับบกพร่องหรือโรคเอดส์ การรักษาโรคมะเร็ง การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียบางชนิด
- ยารักษาโรคลมชักบางชนิด ยาต้านแคลเซียม ยาโรคความดันโลหิตสูง
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เนื่องจากการตั้งครรภ์ มีประจำเดือน ทานยาคุมกำเนิด
- พันธุกรรม
ภาวะแทรกซ้อน
เหงือกอักเสบเรื้อรังอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคทางระบบทางเดินหายใจ โรครูมาตอยด์ เพราะแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคปริทันต์อาจกระจายเข้าสู่กระแสเลือดผ่านทางช่องเหงือก อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการศึกษาวิจัยเรื่องดังกล่าวเพิ่มเติม
โรคเหงือกอักเสบเนื้อตายเฉียบพลันเป็นอาการของเหงือกอักเสบขั้นรุนแรง ซึ่งเป็นการติดเชื้อที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด เลือดออก และเกิดแผลบริเวณเหงือก
การป้องกันโรคเหงือกอักเสบ
- การดูแลสุขภาพช่องปาก ควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งทุกเช้าและก่อนเข้านอน หรือแปรงฟันหลังมื้ออาหารด้วย ควรใช้ไหมขัดฟันก่อนการแปรงฟันเพื่อกำจัดเศษอาหาร
- การพบทันตแพทย์ตามนัด ควรพบทันตแพทย์เพื่อทำความสะอาดช่องปากทุก 6-12 เดือน การสูบบุหรี่ ใช้ยาบางชนิด หรือมีอาการปากแห้ง จะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคปริทันต์มากขึ้น แนะนำให้พบทันตแพทย์บ่อยกว่านั้น และอาจทำการเอกซ์เรย์ช่องปากทุกปี เพราะสามารถตรวจช่วยพบปัญหาทางทันตกรรมที่ไม่พบระหว่าการตรวจช่องปากทั่วไป
- การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และในกรณีที่เป็นโรคเบาหวาน ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เพราะมีส่วนช่วยให้เหงือกแข็งแรง
การตรวจวินิจฉัยโรคเหงือกอักเสบ
- ทันตแพทย์จะดูประวัติทันตกรรมและประวัติสุขภาพ ซึ่งอาจมีส่วนทำให้เกิดอาการ
- ทันตแพทย์จะตรวจฟัน เหงือก ลิ้น และปากเพื่อหาคราบจุลินทรีย์และอาการอักเสบ
- การวัดร่องเหงือกโดยใช้เครื่องมือตรวจปริทันต์สอดเข้าไปในร่องเหงือกหลาย ๆ ครั้ง ในกรณีที่สุขภาพช่องปากไม่มีปัญหา ร่องเหงือกจะลึก 1-3 มม. แต่หากเป็นโรคเหงือกร่องจะลึกกว่า 4 มม. หากร่องลึกทันตแพทย์อาจจะให้เอกซ์เรย์ช่องปากเพื่อประเมินกระดูกฟัน
- หากยังหาสาเหตุของโรคเหงือกไม่ได้ แพทย์จะแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติม
การรักษาโรคเหงือกอักเสบ
- การทำความสะอาดช่องปากโดยทันตแพทย์ ทันตแพทย์จะทำการขูดฟันและเกลารากฟันเพื่อนำคราบจุลินทรีย์และหินปูนออก การขูดหินน้ำลายคือการนำหินปูนและแบคทีเรียออกจากผิวฟันและร่องเหงือก การเกลารากฟันเป็นการขจัดแบคทีเรียที่เกิดจากการอักเสบออกจากร่องเหงือก ขัดผิวฟันให้เรียบเนียนป้องกันการกลับมาของหินปูนและแบคทีเรีย เพื่อให้เหงือกกลับมามีสุขภาพที่ดี ทันตแพทย์อาจใช้เครื่องมือ แสงเลเซอร์ หรือเครื่องอัลตราโซนิกในการทำความสะอาดช่องปาก
- การอุดฟัน ควรปรึกษาทันตแพทย์ หากฟันที่อุดนั้นทำให้เหงือกระคายเคือง หรือทำให้แปรงฟันไม่สะดวก
- การดูแลช่องปากอย่างสม่ำเสมอ หลังจากที่ทันตแพทย์ทำความสะอาดช่องปาก อาการมักจะดีขึ้น เหงือกจะกลับมามีสีชมพูอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรักษาความสะอาดช่องปากอย่างเป็นประจำ ควรขอคำแนะนำจากทันตแพทย์ถึงวิธีแปรงฟันและการทำความสะอาดช่องปากที่ถูกวิธี
การปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวันและการดูแลสุขภาพช่องปากที่บ้าน
เพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นโรคเหงือกอักเสบอีก ควรปฏิบัติตัว ดังต่อไปนี้
- แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง หรือหลังรับประทานอาหาร
- ใช้แปรงสีฟันขนอ่อนและเปลี่ยนแปรงสีฟันใหม่ทุก ๆ 4 เดือน
- ใช้แปรงฟันไฟฟ้า ซึ่งขจัดคราบจุลินทรีย์และหินปูนได้ดี
- ใช้ไหมขัดฟันเสมอ
- บ้วนน้ำยาบ้วนปากเพื่อลดการสะสมของคราบจุลินทรีย์
- ใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดฟัน เช่น ไหมขัดฟันพร้อมด้ามจับ หรือแปรงซอกฟัน ซึ่งเหมาะกับการทำความสะอาดร่องฟัน นอกเหนือจากการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันแบบปกติ
- พบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
- ไม่สูบบุหรี่หรือเคี้ยวยาสูบ
การเตรียมตัวก่อนพบทันตแพทย์
ไปตามนัดทุกครั้ง และปรึกษาทันตแพทย์หากเริ่มมีอาการเหงือกอักเสบ
ก่อนพบทันตแพทย์ อาจจะเตรียมข้อมูลดังต่อไปนี้
- อาการที่มี ทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวกับโรคเหงือกอักเสบ
- ข้อมูลส่วนตัว รวมถึงโรคประจำตัว
- ยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ใช้อยู่
- คำถามที่ต้องการถาม
คำถามที่อาจจะอยากถามทันตแพทย์
- อะไรคือสาเหตุของโรค
- ต้องทำการตรวจอะไรเพิ่มเติมหรือไหม
- สามารถเรียกเก็บค่ารักษาจากบริษัทประกันได้หรือไม่
- มีการรักษาแบบอื่น ๆ อีกหรือไม่
- ควรดูแลสุขภาพฟันอย่างไรเมื่ออยู่ที่บ้าน
- มียาสีฟัน แปรงฟัน หรือไหมขัดฟันที่ควรใช้เป็นพิเศษหรือไม่
- ควรใช้น้ำยาบ้วนปากหรือไม่
- สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
- จะหาข้อมูลเรื่องการดูแลสุขภาพช่องปากเพิ่มเติมได้จากที่ไหน
คำถามที่ทันตแพทย์อาจจะถาม
- เริ่มมีอาการตั้งแต่เมื่อไร
- มีอาการนานต่อเนื่องกันหรือเป็น ๆ หาย ๆ
- แปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟันบ่อยแค่ไหน
- ไปพบทันตแพทย์บ่อยแค่ไหน
- มีโรคประจำตัวใด ๆ หรือไม่
- ใช้ยาอะไรอยู่หรือไม่