เลือกหัวข้อที่อ่าน
- ภาวะหัวใจล้มเหลว มีกี่ประเภท อะไรบ้าง?
- ภาวะหัวใจล้มเหลว มีสาเหตุเกิดจากอะไร?
- ภาวะหัวใจล้มเหลว มีอาการอย่างไร?
- ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว มีอะไรบ้าง?๋
- ภาวะหัวใจล้มเหลว มีวิธีตรวจวินิจฉัยอย่างไร?
- ภาวะหัวใจล้มเหลว มีวิธีการรักษาอย่างไร?
- ภาวะหัวใจล้มเหลว มีวิธีการป้องกันอย่างไร?
- วิธีการใช้ชีวิตเมื่อมีภาวะหัวใจล้มเหลว
ภาวะหัวใจล้มเหลว
ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart failure) เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เลือดไหลกลับหัวใจคั่งในร่างกาย มีน้ำคั่งปอด ทำให้หายใจหอบเหนื่อย โดยปกติแล้วภาวะหัวใจล้มเหลวมักเริ่มเกิดขึ้นที่หัวใจห้องซ้ายที่ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดออกจากหัวใจ อันได้แก่หัวใจห้องล่างซ้าย แต่บางครั้งก็อาจเกิดขึ้นที่ห้องล่างขวาได้ ภาวะหัวใจล้มเหลวนั้นเป็นอันตรายถึงชีวิต การได้รับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยยืดคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้
ภาวะหัวใจล้มเหลว มีกี่ประเภท อะไรบ้าง?
- ภาวะหัวใจล้มเหลวที่หัวใจห้องซ้าย มักเกิดที่หัวใจห้องซ้าย ส่งผลให้น้ำคั่งในปอด ทำให้หายใจหอบเหนื่อย
- ภาวะหัวใจล้มเหลวที่หัวใจห้องขวา เกิดที่หัวใจห้องขวา ส่งผลให้น้ำคั่งในช่องท้อง ขา และเท้า ทำให้เกิดอาการบวม
- หัวใจล้มเหลวที่เกิดร่วมกับการบีบตัวของหัวใจห้องซ้ายล่างลดลง เกิดจากการที่หัวใจห้องซ้ายบีบตัวได้ไม่แรงพอ ทำให้ไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ
- ภาวะหัวใจล้มเหลวจากหัวใจห้องล่างซ้ายไม่คลายตัวได้ตามปกติ หัวใจห้องซ้ายไม่สามารถคลายตัวได้เต็มที่ในจังหวะคลายตัว ทำให้เลือดเข้าสู่หัวใจได้ไม่เต็มที่
ภาวะหัวใจล้มเหลว มีกี่ระยะ?
(อ้างอิง New York Heart Association (NYHA) classification)
- ระยะที่ 1: หัวใจล้มเหลวระยะแรกจะไม่มีอาการใด ๆ
- ระยะที่ 2: หัวใจล้มเหลวระยะที่ 2 ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยล้า หายใจหอบเหนื่อยเมื่อทำกิจกรรมที่ต้องใช้กำลัง แต่ยังสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้โดยไม่มีปัญหาใด ๆ
- ระยะที่ 3: หัวใจล้มเหลวระยะที่ 3 ผู้ป่วยจะทำกิจวัตรประจำวันได้ยากลำบาก
- ระยะที่ 4: หัวใจล้มเหลวระยะที่ 4 เป็นระยะที่รุนแรงที่สุด ผู้ป่วยมีอาการหายใจหอบเหนื่อย แม้ว่าจะไม่ได้ออกกำลังใด ๆ
ภาวะหัวใจล้มเหลว มีสาเหตุเกิดจากอะไร?
ภาวะหัวใจล้มเหลว มีสาเหตุเกิดจากหัวใจได้รับความเสียหาย และอ่อนแอลง ทำให้ห้องหัวใจขยายตัวใหญ่ขึ้น หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้เพียงพอ หรือ ภาวะหัวใจล้มเหลวที่เกิดจากหัวใจห้องล่างแข็งตัว จนคลายตัวรับเลือดเข้ามาได้ไม่เพียงพอ
ภาวะหัวใจล้มเหลว มีอาการอย่างไร?
เมื่อมีภาวะหัวใจล้มเหลว ผู้ป่วยอาจจะค่อย ๆ มีอาการหรือมีอาการฉับพลัน เช่น
- หายใจลำบาก หายใจหอบเหนื่อยเมื่อทำกิจกรรมหรือนอนราบ
- เหนื่อยล้า
- มีอาการบวมที่ช่องท้อง ข้อเท้า ขา หรือเท้า
- หัวใจเต้นเร็วหรือไม่เป็นจังหวะ
- ความทนทานต่อการทำกิจกรรมลดลง
- หายใจมีเสียงหวีด ไอติดต่อกัน มีเสมหะ
- บวมน้ำ
- ไม่อยากอาหาร
- คลื่นไส้
- ความกระฉับกระเฉงลดลง
- สับสน ไม่มีสมาธิ
- เจ็บหน้าอก
เมื่อมีอาการหัวใจล้มเหลว เมื่อไรที่ควรพบแพทย์?
ควรไปพบแพทย์หากอาการแย่ลง มีอาการอื่น ๆ เพิ่มขึ้นตามมา หรือน้ำหนักขึ้นมากกว่า 2-3 กิโลกรัมภายใน 2-3 วัน อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนว่าโรคหัวใจแย่ลง
หากมีอาการเจ็บหน้าอก อ่อนแรงมาก หมดสติ หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ หรือหายใจหอบเหนื่อย ควรโทร 1669 หรือควรรีบให้คนข้างตัวพาไปโรงพยาบาลทันที เพื่อพบแพทย์แผนกฉุกเฉิน
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว มีอะไรบ้าง?๋
- อายุ ยิ่งอายุมาก ยิ่งมีความเสี่ยงสูง
- การดื่มแอลกอฮอล์
- การสูบบุหรี่หรือใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบ
- ปัญหาทางสุขภาพ ได้แก่
- ลิ่มเลือดอุดตันในปอด
- โรคหัวใจพิการตั้งแต่กำเนิด
- โรคหลอดเลือดหัวใจ
- โรคเบาหวาน
- โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
- โรคลิ้นหัวใจ
- โรคความดันโลหิตสูง
- ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ
- โรคอ้วน
- การติดเชื้อไวรัส เช่น เชื้อเอชไอวี
- ยา
- ยาสำหรับโรคเบาหวาน เช่น rosiglitazone และ pioglitazone จะเพิ่มความเสี่ยงของภาวะหัวใจล้มเหลวในผู้ป่วยบางราย
- ยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)
- ยาบางชนิดสำหรับโรคมะเร็ง โรคเลือด โรคความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคทางระบบประสาท โรคทางจิต โรคทางปอดและระบบปัสสาวะ และการติดเชื้อ
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากหัวใจล้มเหลวมีอะไรบ้าง?
- ไตล้มเหลว
- ตับล้มเหลว
- ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
ภาวะหัวใจล้มเหลว มีวิธีตรวจวินิจฉัยอย่างไร?
- การซักประวัติว่ามีปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคหลอดเลือดหัวใจหรือไม่
- การตรวจร่างกาย เพื่อดูว่ามีเสียงฟู่ที่หัวใจหรืออาการบวมในช่องท้องหรือขาบ้างหรือไม่
- การตรวจเลือดเพื่อประเมินว่ามีระดับโปรตีน B-type natriuretic peptide (BNP) หรือ N-terminal pro-BNP (NT-proBNP) ซึ่งผลิตโดยหัวใจหรือไม่ หากระดับโปรตีนสูงขึ้น แสดงว่ามีภาวะหัวใจล้มเหลว
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทรวงอก
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG/EKG) เพื่อดูว่าจังหวะการเต้นของหัวใจช้าหรือเร็วเกินไปหรือไม่
- การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Echocardiogram) เพื่อสร้างภาพหัวใจเพื่อตรวจวินิจฉัยขนาดห้องของหัวใจ การสูบฉีดเลือดของหัวใจ และดูการทำงานของลิ้นหัวใจ
- วัดค่าการบีบตัวของหัวใจ (Ejection fraction) เพื่อวัดปริมาณการสูบฉีดเลือดออกมาจากหัวใจเป็นเปอร์เซนต์ โดยอัตราที่เหมาะสมอยู่ที่ 50% หรือมากกว่า
- การตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการออกกำลังกาย (EST)
- การตรวจหลอดเลือดหัวใจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์
- การตรวจ MRI หัวใจ
- ฉีดสีสวนหัวใจ (CAG) เพื่อหาบริเวณหลอดเลือดที่อุดตัน
- การตัดชิ้นส่วนกล้ามเนื้อหัวใจไปตรวจหาชนิดของโรคกล้ามเนื้อหัวใจ
ภาวะหัวใจล้มเหลว มีวิธีการรักษาอย่างไร?
การปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตและการใช้ยารักษา
การปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตและการใช้ยา สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องรับประทานยาหลายขนาน ขึ้นอยู่กับอาการและสาเหตุของโรค แพทย์อาจให้ปรับเปลี่ยนขนาดยาตามความเหมาะสม หากอาการกำเริบ ควรรีบเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที
การผ่าตัดหัวใจ และทำหัตถการอื่น ๆ
- การผ่าตัดบายพาสหัวใจ
หากภาวะหัวใจล้มเหลวเกิดจากการที่หลอดเลือดหัวใจอุดตัน แพทย์จะแนะนำให้ทำการผ่าตัดบายพาส โดยแพทย์อาจนำเอาหลอดเลือดบริเวณหน้าอก แขน หรือขามาทำทางเบี่ยงที่หัวใจ ทำให้เลือดไหลเข้าสู่กล้ามเนื้อหัวใจได้สะดวกขึ้น - การผ่าตัดซ่อมหรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจ
ในกรณีที่ภาวะหัวใจล้มเหลวเกิดจากการที่ลิ้นหัวใจได้รับความเสียหาย แพทย์จะแนะนำให้เข้ารับการผ่าตัดซ่อมแซมหรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ซึ่งสามารถทำได้ทั้งแบบผ่าตัดเปิดหรือผ่าตัดแผลเล็ก (MIS) - เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจ Implantable Cardioverter-Defibrillator (ICD)
เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจ ICD ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลว คอยควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ตรวจจับการเต้นของหัวใจที่ผิดจังหวะ และปรับการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ - เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ Cardiac Resynchronization Therapy (CRT)
เครื่อง Cardiac Resynchronization Therapy หรือ Biventricular Pacing เป็นเครื่องมือที่ใช้รักษาผู้ที่หัวใจห้องล่างบีบตัวไม่สัมพันธ์กัน โดยเครื่องจะส่งสัญญาณไฟฟ้าไปยังหัวใจห้องล่างทั้ง 2 ห้องเพื่อให้หัวใจบีบตัวสัมพันธ์กันและสูบฉีดเลือดได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งแพทย์อาจให้ใช้คู่กับเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจ - เครื่องพยุงการทํางานของหัวใจ Ventricular Assist Device (VAD)
เครื่องพยุงการทํางานของหัวใจ VAD ช่วยทำการสูบฉีดส่งเลือดจากหัวใจห้องล่างซ้ายไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่รอเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจหรือเป็นการรักษาถาวรสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะได้ - การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ
ในรายที่อาการรุนแรงและการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ไม่ได้ผล แพทย์อาจพิจารณาทำการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจจากผู้บริจาคอวัยวะ ซึ่งแพทย์ต้องทำการประเมินความเสี่ยงเปรียบเทียบกับข้อดีก่อนทำหัตถการ เพราะใช่ว่าทุกคนจะเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจได้
ภาวะหัวใจล้มเหลว มีวิธีการป้องกันอย่างไร?
- หมั่นสังเกตอาการ
- รับประทานยาตามแพทย์สั่ง
- รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม หัวใจต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นเมื่อน้ำหนักตัวมากขึ้น หากน้ำหนักขึ้น 1 กิโลกรัมภายใน 1 วัน หรือขึ้น 2 กิโลกรัมภายใน 1 สัปดาห์ นั่นอาจหมายถึงมีน้ำคั่งในร่างกายและอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนยา
- เลิกสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ขยับร่างกาย ไม่เนือยนิ่ง
- ก่อนเริ่มรับประทานยาหรืออาหารเสริมใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง
วิธีการใช้ชีวิตเมื่อมีภาวะหัวใจล้มเหลว
- สื่อสารกับแพทย์อยู่เสมอ หากมีเรื่องที่กังวลใจ หากรู้สึกแย่ลงควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อแพทย์จะได้ปรับการรักษาให้เหมาะสม
- รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง หากมีผลข้างเคียงควรแจ้งให้แพทย์ทราบ ไม่ควรหยุดใช้ยาเอง
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาบรรเทาปวดไอบูโปรเฟนและนาพรอกเซน เนื่องจากจะไปเพิ่มความเสี่ยงของภาวะหัวใจล้มเหลว
- ตรวจสอบน้ำหนักตัวหลังตื่นนอน หลังรับประทานอาหารเช้า และหลังปัสสาวะ หากน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นสัญญาณของการสะสมของของเหลว
- ตรวจความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยบอกได้ว่าการรักษาได้ผลหรือไม่
- ขอความช่วยเหลือจากครอบครัวและเพื่อนในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การทำอาหาร การขับรถ เป็นต้น
การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์
- หากทำได้ควรพาเพื่อนหรือคนในครอบครัวมาด้วยเพื่อช่วยจดจำข้อมูลต่าง ๆ ที่แพทย์ชี้แจ้ง
- จดบันทึกอาการที่มี ประวัติสุขภาพของครอบครัว เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน ยาที่กำลังรับประทาน ความเครียดหรือการเปลี่ยนแปลงในชีวิต รวมถึงคำถามที่ต้องการสอบถามแพทย์
ตัวอย่างคำถาม- สาเหตุของอาการคืออะไร?
- จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจเพิ่มเติมหรือไม่?
- มีวิธีการรักษาประเภทใดบ้าง?
- มีข้อจำกัดเรื่องการรับประทานอาหารหรือไม่?
- ยังคงออกกำลังกายหรือมีเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่?
- โรคถ่ายทอดทางพันธุกรรมหรือไม่?
- หากมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ควรจัดการกับอาการอย่างไร?
นอกจากนี้ผู้ป่วยสามารถจดคำตอบของคำถามที่แพทย์อาจจะถามได้ล่วงหน้า
- อาการเกิดขึ้นเมื่อไร
- มีอาการตลอดเวลาหรือเป็น ๆ หาย ๆ
- อะไรที่ทำให้อาการดีขึ้นหรือแย่ลง