เลือกหัวข้อที่อ่าน
- ประจำเดือนมามากผิดปกติ
- ประจำเดือนมามากผิดปกติ มีอาการอย่างไรบ้าง
- ควรไปพบแพทย์เมื่อไร
- ประจำเดือนมามากผิดปกติ เกิดจากสาเหตุอะไร
- ประจำเดือนมามากผิดปกติ มีวิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร
- ประจำเดือนมามากผิดปกติ มีวิธีการรักษาอย่างไร
- การป้องกันประจำเดือนมามากผิดปกติ
ประจำเดือนมามากผิดปกติ
ภาวะประจำเดือนมามากผิดปกติ (หรือที่เคยรู้จักกันในชื่อ Menorrhagia) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อเสียเลือดประจำเดือนมากกว่า 80 มิลลิลิตร (5-6 ช้อนโต๊ะ) ในระหว่างรอบเดือนหรือมีประจำเดือนนานกว่า 7 วัน ซึ่งโดยปกติแล้วในรอบเดือนหนึ่ง ผู้หญิงมักเสียเลือดอยู่ที่ 40 มิลลิลิตร (2-3 ช้อนโต๊ะ) ในช่วง 4-8 วัน ภาวะประจำเดือนมามากผิดปกติอาจนำไปสู่ภาวะโลหิตจาง รู้สึกเหนื่อย ร่างกายอ่อนเพลีย
ประจำเดือนมามากผิดปกติ มีอาการอย่างไร
- ปวดท้องน้อย
- มีประจำเดือนนานกว่า 7 วัน
- มีเลือดประจำเดือนออกมามากกว่า 80 มิลลิลิตร (ปริมาณประจำเดือนปกติอยู่ที่ 35-40 มิลลิลิตร)
- มีเลือดประจำเดือนออกมาเป็นก้อนขนาดใหญ่กว่าเหรียญ 5 บาท
- มีอาการของภาวะเลือดจาง เช่น หายใจไม่ทัน เหนื่อยอ่อน
- ต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยไม่ว่าจะแบบแผ่นหรือแบบสอดทุกชั่วโมง อย่างน้อย 2 ชั่วโมงติดกัน
ควรไปพบแพทย์เมื่อไร
เมื่อประจำเดือนมามากจนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกชั่วโมง มีเลือดออกนอกรอบเดือน มีเลือดออกผิดปกติ หรือเลือดออกหลังเข้าวัยหมดระดู ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
ประจำเดือนมามากผิดปกติ เกิดจากสาเหตุอะไร
- ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล: ฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโพรเจนเตอโรน จะทำหน้าที่ควบคุมรอบเดือนของคนเรา การที่มีน้ำหนักตัวที่มากเกินไป หรือโรคต่าง ๆ เช่น ภาวะไข่ไม่ตก โรคต่อมไทรอยด์ หรือ กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ อาจส่งผลให้ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล ทำให้ประจำเดือนมามากผิดปกติ
- ก้อนไม่เป็นมะเร็งในมดลูก: ติ่งเนื้อในมดลูก เนื้องอกมดลูก มดลูกโตจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ อาจทำให้เซลล์ในมดลูกเติบโตผิดปกติ ทำให้ประจำเดือนมามาก
- ก้อนมะเร็งในมดลูก: ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัว มะเร็งมดลูกมะเร็งปากมดลูกส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ ทำให้ประจำเดือนมามากได้
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์: เช่น โรคหนองใน โรคหนองในเทียม โรคพยาธิในช่องคลอด และภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบเรื้อรัง
- ภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์: ภาวะเลือดออกมากระหว่างตั้งครรภ์เป็นสัญญาณเตือนของการแท้งบุตร การตั้งครรภ์นอกมดลูก รอยบุ๋มในแผลผ่าตัดคลอดบุตร
- โรคต่าง ๆ: ประจำเดือนที่มามากผิดปกติอาจเกี่ยวข้องกับโรคเลือดทางพันธุกรรม เช่น โรค Von Willebrand และโรคอื่น ๆ เช่น โรคตับ โรคไต ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว และภาวะผิดปกติของเกล็ดเลือด
- การใช้ยา: ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาแอสไพริน การบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทน ยารักษาโรคมะเร็งเต้านม เช่น Tamoxifen ยาคุมกำเนิดแบบรับประทานและแบบฉีด ห่วงอนามัยคุมกำเนิด อาจส่งผลให้มีเลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูก
ประจำเดือนมามากผิดปกติ มีวิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร
- การสอบประวัติและการตรวจร่างกาย แพทย์จะสอบถามอาการ ตรวจร่างกายและตรวจภายใน
- การตรวจเลือด แพทย์อาจให้ตรวจเลือดเพื่อเช็คระดับธาตุเหล็กในร่างกาย เพื่อประเมินว่ามีภาวะโลหิตจาง โรคไทรอยด์ และโรคเลือดหรือไม่
- การตรวจแปบเสมียร์ ช่วยวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อ การอักเสบ หรือข้อบ่งชี้ของโรคมะเร็งหรือไม่
- การตรวจอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอด เพื่อประเมินอวัยวะและเนื้อเยื่อในอุ้งเชิงกราน
- การตรวจ Sonohysterogram หรือการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงและน้ำเกลือ ช่วยตรวจวินิจฉัยเยื่อบุผนังของมดลูก ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้ตรวจพบความผิดปกติในโพรงมดลูกได้แม่นยำกว่าการตรวจอัลตราซาวนด์ตามปกติ
- การตัดชิ้นเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกไปตรวจเพื่อตรวจหาเซลล์มะเร็งและความผิดปกติของเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูก
- การตรวจ MRI ช่วยให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยได้ว่ามีโครงสร้างภายในของมดลูกมีความผิดปกติใด ๆ หรือไม่
- การส่องกล้องตรวจโพรงมดลูก เป็นการตรวจช่องคลอด ปากมดลูก และมดลูก เพื่อหาติ่งเนื้อ พังผืด และความผิดปกติอื่น ๆ ซึ่งแพทย์สามารถทำการผ่าตัดได้ในเวลาเดียวกัน
- การเพาะเชื้อ เพื่อดูว่ามีการติดเชื้อในมดลูกหรือไม่
ประจำเดือนมามากผิดปกติ มีวิธีการรักษาอย่างไร
วิธีการรักษาที่เหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของโรค อายุ ประวัติสุขภาพ การตอบสนองของร่างกายต่อยา และความต้องการของผู้ป่วย สูตินรีแพทย์จะแนะนำทางเลือกการรักษาที่เหมาะกับอาการและการวางแผนมีบุตรของผู้ป่วย
ยา
- กลุ่มยา NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟนหรือแอสไพริน ช่วยบรรเทาการหดตัวของกล้ามเนื้อและภาวะประจำเดือนมามาก
- ยาเม็ดคุมกำเนิด วงแหวนคุมกำเนิด แผ่นแปะคุมกำเนิด ห่วงอนามัยคุมกำเนิด ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ
- การบำบัดด้วยฮอร์โมน ช่วยปรับระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโพรเจสเตอโรนในร่างกายให้สมดุล ลดปริมาณประจำเดือน แพทย์มักแนะนำวิธีนี้ให้กับผู้ที่ประจำเดือนมามากเนื่องจากภาวะเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน
- ยาต้านการสลายลิ่มเลือด เช่น tranexamic acid ช่วยชะลอการไหลของเลือดได้อย่างรวดเร็ว
- ยากระตุ้นการหลั่งฮอร์โมน Gonadotropin ช่วยหยุดหรือลดภาวะเลือดออกได้ชั่วคราว โดยยาจะออกฤทธิ์ยับยั้งการตกไข่
การผ่าตัด
- การส่องกล้องผ่าตัดโพรงมดลูก
- การผ่าตัดเนื้องอกมดลูก
- การใส่สายสวนเข้าไปในหลอดเลือด เพื่อยับยั้งเลือดไม่ให้ไปหล่อเลี้ยงก้อนเนื้องอก
- การทำลายเยื่อบุโพรงมดลูก เพื่อกำจัดเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกทั้งหมดหรือบางส่วน มักแนะนำให้ทำหมันด้วย เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงหากผู้ป่วยตั้งครรภ์ เพราะหัตถการดังกล่าวอาจเป็นอันตรายต่อตัวอ่อนที่กำลังเติบโต
- การตัดมดลูก
วิธีการรักษาแบบใดที่เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละท่าน
โดยปกติแล้วแพทย์มักแนะนำวิธีการรักษาโดยการรับประทานยา
หากผู้ป่วยวางแผนที่จะมีบุตรภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า แพทย์อาจให้รับประทานกลุ่มยา NSAIDs หรือยาต้านการสลายลิ่มเลือด อย่างไรก็ตามกลุ่มยา NSAIDs นั้นอาจมีประสิทธิภาพด้อยกว่าการรักษาด้วยฮอร์โมน
หากผู้ป่วยวางแผนที่จะมีบุตรในอนาคตแต่ไม่เร็ว ๆ นี้ แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมน ห่วงอนามัยคุมกำเนิดแบบฮอร์โมน ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว หรือยาคุมกำเนิดชนิดฉีดที่มีฮอร์โมนโพรเจสตินอย่างเดียว
สำหรับผู้ที่ไม่มีแผนจะมีบุตร สามารถรับประทานยาตามที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยยาคุมกำเนิดแบบมีฮอร์โมนและยาต้านการสลายลิ่มเลือดจะมีประสิทธิภาพการรักษาดีที่สุด
หากการรับประทานยาไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น แพทย์อาจแนะนำการรักษาด้วยการผ่าตัด
การป้องกันประจำเดือนมามากผิดปกติ
การป้องกันภาวะประจำเดือนมามากผิดปกตินั้นทำไม่ได้ หากมีอาการที่น่าสงสัย ควรเข้ารับคำปรึกษากับสูตินรีเวชเพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างเหมาะสมและเข้ารับการรักษาเพื่อจัดการกับอาการที่มี
การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์
- จดบันทึกอาการที่มีและยาที่กำลังรับประทานอยู่
- เขียนรายการคำถามที่ต้องการถามแพทย์ เช่น
- อะไรคือสาเหตุของอาการ
- จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจวินิจฉัยอะไรเป็นพิเศษหรือไม่
- อาการประจำเดือนมามากผิดปกติเป็นอาการชั่วคราวหรือไม่
- มีวิธีการรักษาด้วยวิธีใดบ้าง
- หากมีโรคประจำตัวอยู่ก่อนแล้ว ควรจัดการกับโรคอย่างไร
เตรียมคำตอบสำหรับคำถามที่แพทย์อาจถาม
- เริ่มมีอาการเมื่อไร
- อาการเป็น ๆ หาย ๆ หรือมีอาการมาโดยตลอด
- อาการที่มีนั้นรุนแรงหรือไม่
- อะไรที่ทำให้อาการดีขึ้นหรือแย่ลง
คำถามที่ถามบ่อย
- ภาวะประจำเดือนมามากผิดปกติเป็นอันตรายต่อชีวิตหรือไม่
ปกติแล้วภาวะประจำเดือนมามากผิดปกติไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่การเสียเลือดมากเกินไปนั้นอาจเป็นอันตราย หากประจำเดือนมามากจนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกชั่วโมง อย่างน้อย 2 ชั่วโมงติดกัน ควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัย - เราจะรู้ได้อย่างไรว่าปริมาณประจำเดือนที่มีในแต่ละเดือนนั้นปกติ
เมื่อมีประจำเดือน การเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 3-4 ชั่วโมงถือเป็นเรื่องปกติ หากต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยกว่านั้นหรือต้องใส่ผ้าอนามัย 2 แผ่นในเวลาเดียวกัน อาจถือได้ว่าประจำเดือนมามาก
คำแนะนำจากแพทย์โรงพยาบาลเมดพาร์ค
ภาวะประจำเดือนมามากอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัว หากอาการส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อหาวิธีการรักษาและบรรเทาอาการ