เลือกหัวข้อที่อ่าน
- โรคริดสีดวงทวาร คืออะไร?
- ริดสีดวงทวาร มีอาการอย่างไร?
- ริดสีดวงทวาร เกิดจากสาเหตุอะไร?
- ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดริดสีดวงทวาร
- ภาวะแทรกซ้อนจากริดสีดวงทวาร
- ริดสีดวงทวาร มีวิธีป้องกันอย่างไร
- โรคริดสีดวงทวาร มีวิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร
- โรคริดสีดวงทวาร มีวิธีการรักษาอย่างไร
โรคริดสีดวงทวาร
เมื่อมีอาการของโรคริดสีดวงทวาร เส้นเลือดบริเวณทวารหนักและลำไส้ตรงส่วนล่างจะมีขนาดใหญ่ขึ้น เหมือนเส้นเลือดขอด โรคริดสีดวงทวารแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่โรคริดสีดวงทวารภายใน ซึ่งเกิดภายในลำไส้ตรงและโรคริดสีดวงทวารภายนอกซึ่งเกิดใต้ผิวหนังรอบทวารหนัก
ผู้ใหญ่ราว 3 ใน 4 คนมักเคยเป็นโรคริดสีดวงทวารครั้งหนึ่งในชีวิต สาเหตุของโรคมีได้หลายสาเหตุ แต่โดยมากแล้วมักไม่สามารถระบุสาเหตุได้
อย่างไรก็ตามการรักษาโรคริดสีดวงทวารนั้นได้ผลดี และการดูแลรักษาด้วยยาสามัญประจำบ้าน ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตก็สามารถช่วยบรรเทาอาการได้
ริดสีดวงทวาร มีอาการอย่างไร?
อาการขึ้นอยู่กับชนิดของโรคริดสีดวงทวาร
- โรคริดสีดวงทวารภายนอกเกิดขึ้นบริเวณทวารหนัก มักมีอาการ
- เลือดออก
- ผิวรอบทวารบวม
- ไม่สบายตัว เจ็บปวด
- อาการระคายเคือง คันบริเวณทวารหนัก
- โรคริดสีดวงทวารภายในเกิดภายในลำไส้ตรง มักมองไม่เห็นหรือไม่ทำให้เจ็บ แต่หากต้องเบ่งอุจจาระ อาจมีอาการดังนี้
- เลือดสดออกทางทวารหนักแต่ไม่เจ็บ อาจมีเลือดหยดลงในโถสุขภัณฑ์หรือบนกระดาษทิชชู
- โรคริดสีดวงแบบมีก้อนยื่นออกนอกทวาร ซึ่งจะรู้สึกเจ็บและระคายเคือง
- โรคริดสีดวงทวารแบบมีลิ่มเลือด เมื่อเกิดลิ่มเลือดในริดสีดวงทวารภายนอก มักมีอาการ
- บวม
- ปวดรุนแรง
- อักเสบ
- ก้อนบวมมีไตแข็งรอบทวารหนัก
เป็นริดสีดวงทวาร ควรพบแพทย์เมื่อไร?
ควรพบแพทย์หากมีเลือดออกทางทวารหนัก หรืออาการไม่ดีขึ้นหลังจากรักษาตัวเองหนึ่งสัปดาห์ โรคริดสีดวงทวารอาจไม่ใช่สาเหตุของอาการในกรณีที่การขับถ่ายเปลี่ยนไป สีหรือลักษณะของอุจจาระแปลกไป โรคอื่น ๆ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งทวารหนักก็อาจทำให้มีเลือดออกทางทวารหนัก
หากรู้สึกวิงเวียน หน้ามืด และเลือดออกทางทวารหนักจำนวนมาก ควรพบแพทย์ทันที
ริดสีดวงทวาร เกิดจากสาเหตุอะไร?
ริดสีดวงทวาร เกิดจากเมื่อแรงดันในทวารหนักสูงขึ้น เส้นเลือดรอบทวารหนักจะคั่งเลือดและยืดขยายโตขึ้น ทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวาร แรงดันในทวารหนักจะเพิ่มขึ้นเมื่อ
- เบ่งอุจจาระ
- นั่งถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน
- ท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง
- เป็นโรคอ้วน
- ตั้งครรภ์
- มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
- ไม่ทานอาหารที่มีใยอาหารสูง
- ยกและหิ้วของหนักเป็นประจำ
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดริดสีดวงทวาร
เมื่ออายุมากขึ้น เนื้อเยื่อบริเวณลำไส้ตรงรอบๆเส้นเลือดทวารหนักเริ่มไม่แข็งแรง ยืดออก เพิ่มปัจจัยเสี่ยงของโรคริดสีดวงทวาร ในหญิงตั้งครรภ์น้ำหนักของทารกในครรภ์จะเพิ่มแรงกดทับบนทวารหนัก ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคริดสีดวงทวารมากขึ้น
ภาวะแทรกซ้อนจากริดสีดวงทวาร
มักไม่ค่อยพบภาวะแทรกซ้อน แต่อาจเกิดภาวะดังต่อไปนี้ได้
- โลหิตจางหรือภาวะซีด ถ้ามีการเสียเลือดในปริมาณมากบ่อยๆ จะทำให้ร่างกายขาดเซลล์เม็ดเลือดแดงที่จะนำออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อ ส่วนอื่นของร่างกายได้เพียงพอ แต่ภาวะนี้เกิดขึ้นได้น้อย
- ริดสีดวงทวารอักเสบที่มีภาวะขาดเลือดร่วมด้วย ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดเป็นอย่างมากจากการขาดเลือดไปเลี้ยงริดสีดวงภายใน
- ลิ่มเลือด ภาวะห้อเลือดที่บริเวณปากทวารเกิดขึ้นจากลิ่มเลือด ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรง อาจต้องกรีดและระบายลิ่มเลือดออก
ริดสีดวงทวาร มีวิธีป้องกันอย่างไร
โรคริดสีดวงทวารป้องกันได้ด้วยการทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มอยู่เสมอ สิ่งที่ผู้ป่วยทำได้เพื่อป้องกันและบรรเทาความรุนแรงของอาการ ได้แก่
- เพิ่มการรับประทานอาหารที่มีกากใยเพื่อให้อุจจาระอ่อนนุ่มและเพิ่มปริมาตรอุจจาระ ช่วยให้ไม่ต้องเบ่งถ่าย อย่างไรก็ตามควรเริ่มเพิ่มปริมาณผัก ผลไม้ ธัญพืชอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อป้องกันอาการท้องอืดจากก๊าซในลำไส้
- ดื่มน้ำสะอาดหรือเครื่องดื่มอื่น ๆ (เว้นแอลกอฮอล์) 6-8 แก้วต่อวันเพื่อช่วยให้อุจจาระอ่อนนุ่ม
- ปริมาณใยอาหารแต่ละวันที่ควรได้รับคือ 20-30 กรัม แต่คนส่วนใหญ่มักรับประทานไม่เพียงพอ ผลิตภัณฑ์เสริมใยอาหารสามารถช่วยบรรเทาอาการเลือดออกทางทวารหนักและอาการอื่น ๆ ของโรคริดสีดวงทวารหนักได้ ควรดื่มน้ำวันละ 8 แก้วเมื่อรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมใยอาหารเพื่อป้องกันภาวะท้องผูก
- ไม่เบ่งถ่ายหรือกลั้นหายใจเวลาขับถ่ายเพื่อป้องกันการเพิ่มแรงดันภายในลำไส้ตรงส่วนล่าง
- ไม่ควรกลั้นหรือไม่เข้าห้องน้ำเมื่อรู้สึกอยากขับถ่าย เพราะจะทำให้อุจจาระแห้งแข็ง
- การออกกำลังกายช่วยให้ลำไส้ขยับบีบตัวบ่อยขึ้น เพิ่มความอยากถ่ายอุจจาระ ลดอาการท้องผูก
- จำกัดเวลานั่งขับถ่ายเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะคั่งเลือดเป็นเวลานานในเส้นเลือดทวารหนัก
โรคริดสีดวงทวาร มีวิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร
แพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยโรคริดสีดวงภายนอกด้วยตาเปล่า แต่โรคริดสีดวงภายในจำเป็นต้องตรวจวินิจฉัยทางทวารหนักและลำไส้ตรง
- การตรวจทางทวารหนัก
แพทย์จะใส่ถุงมือยางและทาเจลหล่อลื่น ก่อนสอดนิ้วผ่าน รูทวารเพื่อคลำหาก้อนเนื้อในลำไส้ตรง - การส่องกล้องตรวจทวารหนักและลำไส้ตรง
เป็นการตรวจด้วยการส่องกล้อง โดยใช้กล้องชนิดต่าง ๆ เช่น anoscope, proctoscope หรือ sigmoidoscopy เพื่อตรวจส่วนปลายของลำไส้ใหญ่ซึ่งคลำไม่ถึงหรือไม่พบจากการตรวจด้วยนิ้วทางทวารหนัก
แพทย์อาจทำการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่เพื่อตรวจลำไส้ใหญ่ทั้งหมดในกรณีที่
- แพทย์สงสัยว่าอาการเกิดจากโรคอื่นของระบบทางเดินอาหาร
- มีปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
- คนไข้วัยกลางคนและยังไม่ได้รับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่
โรคริดสีดวงทวาร มีวิธีการรักษาอย่างไร
การรักษาตัวเองและดูแลตัวเองเมื่อเป็นริดสีดวงทวาร
การดูแลรักษาตัวเองที่บ้านเมื่อเป็นริดสีดวง สามารถทำได้หากอาการไม่รุนแรง
- เพิ่มอาหารกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช เพื่อเพิ่มปริมาตรของอุจจาระและความอ่อนนุ่ม ทำให้ไม่ต้องเบ่งถ่าย ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการ แต่ควรเพิ่มการรับประทานใยอาหารทีละน้อยเพื่อป้องกันอาการท้องอืด
- ใช้ครีมหรือยาสอดที่มีสารไฮโดรคอร์ติโซน หรือแผ่นแปะที่มีสารสกัดวิชเฮเซลหรือยาชา
- นั่งแช่น้ำอุ่นในถาดที่วางบนโถสุขภัณฑ์เป็นเวลา 10 - 15 นาที 2 - 3 ครั้งต่อวัน
- รับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการ
การดูแลตัวเองที่บ้านสามารถช่วยรักษาอาการได้ภายใน 7 วัน หากอาการไม่ดีขึ้น หรือ มีอาการปวดและเลือดออกมากขึ้น ควรพบแพทย์โดยทันที
การใช้ยา
หากอาการไม่รุนแรง สามารถใช้แผ่นแปะ ครีม ยาทาขี้ผึ้ง หรือยาสอดที่มีสารกสัดวิชเฮเซลหรือสารไฮโดรคอร์ติโซนเพื่อบรรเทาอาการ อย่างไรก็ตาม การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์นานๆจะทำให้ผิวหนังบางลง จึงไม่ควรใช้นานเกิน 7 วัน เว้นในกรณีที่แพทย์แนะนำ
การผ่าตัดลิ่มเลือดในริดสีดวงทวารภายนอก
หากมีอาการห้อเลือดหรือลิ่มเลือดที่สร้างความเจ็บปวด การผ่าตัดโดยใช้ยาชาเฉพาะที่สามารถบรรเทาอาการปวดได้ทันที แต่การผ่าตัดจะได้ผลดีเมื่อทำภายใน 72 ชั่วโมงแรกหลังเกิดลิ่มเลือด
หัตถการการรักษาแบบเจ็บตัวน้อย
หัตถการเพื่อรักษาโรคริดสีดวงทวารที่มีอาการและมีเลือดออกบ่อย มีหลายวิธี โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องนอนที่โรงพยาบาลและไม่จำเป็นต้องดมยาสลบหรือใช้ยาระงับความรู้สึก
- การใช้ยางรัด
เพื่อตัดการส่งเลือดไปยังริดสีดวงทวารหนักภายในโดยการรัดยาง 1-2 เส้นรอบหัวริดสีดวงเพื่อให้หัวเล็กลงและหลุดออกภายใน 1 สัปดาห์ - การฉีดยารักษาเส้นเลือดขอดริดสีดวงทวาร
ฉีดสารเคมีเพื่อให้เนื้อเยื่อริดสีดวงหดตัว วิธีนี้ไม่เจ็บหรือเจ็บเล็กน้อย แต่ประสิทธิภาพน้อยกว่าการใช้ยางรัด - หัตถการที่ทำให้เนื้อเยื่อหดยุบตัว
เป็นหัตถการที่ใช้ความร้อนจากแสง เลเซอร์ หรืออินฟราเรดเพื่อทำให้หัวริดสีดวงภายในขนาดเล็กที่มีเลือดออกหดยุบและแข็งตัวขี้น ซึ่งอาจทำให้ไม่สบายตัวและมีผลข้างเคียงบ้าง
การผ่าตัดริดสีดวงทวาร
โดยปกติแล้วไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัด เว้นแต่ว่าหัวริดสีดวงมีขนาดใหญ่หรือการรักษาวิธีอื่นไม่ได้ผล แพทย์จะแนะนำ
- การผ่าตัดริดสีดวงทวาร นั้นทำได้หลายวิธี แพทย์อาจใช้การดมยาสลบ การฉีดยาชาเข้าช่องน้ำไขสันหลัง หรือยาระงับความรู้สึกเฉพาะที่พร้อมยาทำให้ง่วงหลับ การผ่าตัดเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดในการรักษาโรคริดสีดวงระยะรุนแรงหรือเป็นซ้ำ ปัญหาแทรกซ้อนที่พบบ่อยคือภาวะถ่ายปัสสาวะไม่ออกชั่วคราว หลังการผ่าตัดโดยการบล็อคหลังซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะได้
ยาหรือการนั่งแช่น้ำอุ่นช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหลังการผ่าตัดได้
การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์
ควรพบแพทย์หากทนทุกข์ทรมานจากโรคริดสีดวงทวาร แพทย์อาจจะแนะนำให้ตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมกับแพทย์ระบบทางเดินอาหารหรือศัลยแพทย์ด้านลำไส้ใหญ่และทวารหนักเพื่อการวินิจฉัยรักษาเพิ่มเติม
การเตรียมตัว
ก่อนพบแพทย์ ให้สำรวจดูว่ามีเรื่องที่ต้องเตรียมตัวพิเศษหรือไม่ และให้จดบันทึกประเด็นต่อไปนี้
- อาการของโรคและระยะเวลาที่เป็น
- ลักษณะการขับถ่ายปกติ อาหารที่รับประทานประจำ รวมถึงปริมาณใยอาหาร
- ชนิดและขนาดของยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่รับประทานอยู่
- คำถามอื่นที่อาจมี
ตัวอย่างคำถามที่ผู้ป่วยสามารถสอบถามแพทย์ได้
- สาเหตุของโรคเกิดจากอะไร?
- โรคริดสีดวงทวารเป็นอาการที่เกิดขึ้นชั่วคราวหรือถาวร?
- มีภาวะแทรกซ้อนอะไรบ้าง?
- วิธีการรักษาที่ดีที่สุด?
- หากการรักษาไม่ได้ผล ควรทำอย่างไรต่อ?
- ริดสีดวงทวารจำเป็นต้องผ่าตัดหรือไม่?
- ควรทำอะไรเพื่อบรรเทาอาการ?
- หากมีโรคประจำตัวร่วมกับโรคริดสีดวงทวารควรทำอย่างไร?
ถามคำถามอื่น ๆ ที่มี
สิ่งที่แพทย์อาจจะถาม
- มีอาการเจ็บปวดจากโรคริดสีดวงทวารหรือไม่?
- นิสัยการขับถ่ายเป็นอย่างไร?
- รับประทานอาหารที่มีกากใยสูงมากน้อยเท่าไร?
- อะไรที่ทำแล้วอาการดีขึ้น?
- อะไรที่ทำแล้วอาการแย่ลง?
- คนในครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งทวาร มะเร็งช่องทวารหนัก หรือโรคริดสีดวงทวารหรือไม่?
- การขับถ่ายเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่?
- ถ่ายเป็นเลือดหรือไม่ หรือมีเลือดหยดลงในโถสุขภัณฑ์หรือบนกระดาษทิชชูหรือไม่?
- ปริมาณและลักษณะสีของเลือดที่ออก?
สิ่งที่สามารถทำได้ก่อนวันนัดพบแพทย์
ก่อนพบแพทย์ ผู้ป่วยสามารถบรรเทาอาการได้โดยรับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืช และดื่มน้ำสะอาด 6-8 แก้วต่อวัน