เลือกหัวข้อที่อ่าน
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบ คืออะไร
- ประเภทของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีอะไรบ้าง
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เกิดจากสาเหตุอะไร
- อาการโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นอย่างไร
- อาการแทรกซ้อนของเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เป็นโรคเยื่อหุ่มสมองอักเสบ
- โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีวิธีรักษาอย่างไร
- โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีวิธีรักษาอย่างไร
- วิธีการป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- คำถามที่พบได้บ่อย
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) เป็นโรคที่เกิดขึ้นเมื่อเยื่อหุ้มสมองเกิดการอักเสบ โดยเยื่อหุ้มสมอง คือเนื้อเยื่อชั้นนอกที่ห่อหุ้มรอบสมองและไขสันหลัง ส่วนมากโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบมักเกิดขึ้นจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และปรสิต รวมถึงสาเหตุอื่น ๆ ที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ อาการของเยื่อหุ้มสมองอักเสบประกอบไปด้วย ไข้ ปวดศีรษะรุนแรง คอแข็ง คลื่นไส้ อาเจียน และแพ้แสง หากสงสัยว่าเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ควรรับการรักษาในทันที
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ คืออะไร?
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบเกิดขึ้นเมื่อเยื่อหุ้มสมองและไขสันหลังเกิดการติดเชื้อ โดยเยื่อหุ้มสมองมีหน้าที่รองรับและปกป้องสมองและไขสันหลังจากอาการบาดเจ็บ ในเยื่อหุ้มสมองจะประกอบด้วยเส้นเลือด เส้นประสาท และน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง (CSF)
สาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบคืออะไร?
- โรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสและแบคทีเรียซึ่งแพร่จากคนสู่คนได้
- สาเหตุอื่น ๆ ที่ไม่ใช่โรคติดเชื้อ ได้แก่ มะเร็งหรืออาการบาดเจ็บศีรษะ
ทั้งนี้ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบยังอาจก่อให้เกิดอาการรุนแรงและเจ็บปวด จึงแนะนำให้รีบพบแพทย์หากมีอาการ อย่าปล่อยจนอาการแย่ลง
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีกี่ประเภท?
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบแต่ละชนิดจะตั้งชื่อตามสาเหตุหรือระยะเวลาที่อาการปรากฏ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบแต่ละชนิด ได้แก่
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส (Viral Meningitis) โรคเยื่อหุ้มสมองประเภทนี้มักจะไม่รุนแรงและหายได้เอง
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากแบคทีเรีย (Bacterial Meningitis)
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา (Fungal Meningitis)
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากปรสิต (Parasitic Meningitis)
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากอะมีบา หรือ อะมีบากินสมอง (Primary Amebic Meningoencephalitis หรือ PAM) เป็นโรคที่พบไม่บ่อย เกิดจากเชื้ออะมีบาที่กินสมองชนิดนีเกลอเรีย (Naegleria fowleri)
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบไร้เชื้อที่เกิดจากยา (Drug-induced Aseptic Meningitis หรือ DIAM) ยาบางประเภททำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบประเภทนี้ โดยมียาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDS) และยาปฏิชีวนะเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบเรื้อรัง (Chronic Meningitis) เมื่อเยื่อหุ้มสมองอักเสบเกิดขึ้นนาน 1 เดือนหรือนานกว่านั้น จะเรียกว่าเยื่อหุ้มสมองอักเสบเรื้อรัง
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบเฉียบพลัน (Acute Meningitis) เยื่อหุ้มสมองอักเสบประเภทนี้มาพร้อมอาการที่รุนแรงและเกิดขึ้นในฉับพลัน
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีสาเหตุเกิดจากอะไร?
สาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบมีทั้งโรคติดเชื้อและอาการที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ โรคติดเชื้อส่วนมากเกิดจากแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา ปรสิต และอะมีบาชนิดนีเกลอเรีย (Naegleria fowleri) ส่วนสาเหตุของโรคที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ได้แก่ โรคที่เกิดจากภาวะการอักเสบทั่วร่างกาย ยาหรือมะเร็งบางชนิด และปฏิกิริยาเคมี ซึ่งเยื่อหุ้มสมองอักเสบแต่ละประเภทจะมีสาเหตุแตกต่างกันไป โดยแบ่งออกได้ดังนี้
สาเหตุของเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากแบคทีเรีย
- เชื้ออีโคไล (E. coli)
- เชื้อสเตร็พโตค็อคคัส กลุ่มบี (Group B Streptococcus)
- เชื้อไมโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซิส (Mycobacterium Tuberculosis)
- เชื้อสเตร็พโตค็อคคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus Pneumoniae)
- เชื้อลิสทีเรีย โมโนไซโตจิเนส (Listeria Monocytogenes)
- เชื้อฮีโมฟิลัส อินฟลูเอ็นซาอี (Haemophilus Influenzae)
- เชื้อไนซีเรีย เมนิงไจไทดิส (Neisseria meningitides)
สาเหตุของเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส
- คางทูม
- เชื้อไวรัสลิมโฟไซติก คอริโอเมนิงไจติส (Lymphocytic Choriomeningitis Virus)
- ไวรัสกลุ่มเอนเตอโรที่ไม่ใช่โปลิโอ (Non-polio Enteroviruses)
- ไวรัสเฮอร์ปีส์ (Herpesviruses)
- หัดเยอรมัน (Measles)
- อาร์โบไวรัส (Arboviruses) เช่น เชื้อไวรัสเวสต์ไนล์ (West Nile Virus)
- ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza)
สาเหตุของเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา
- เชื้อราคอคซิเดีย (Coccidioides)
สาเหตุของเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากปรสิต
- พยาธิปอดหนูหรือพยาธิหอยโข่ง (Angiostrongylus Cantonensis)
- พยาธิแรคคูน (Baylisascaris Procyonis)
- พยาธิตัวจี๊ด (Gnathostoma Spinigerum)
สาเหตุของเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากอะมีบา
- อะมีบาชนิดนีเกลอเรีย (Naegleria fowleri)
สาเหตุของเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ
- โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือ ลูปัส (Systemic lupus erythematosus, Lupus)
- ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ และ ยาปฏิชีวนะ
- อาการบาดเจ็บที่ศีรษะ
- การผ่าตัดสมอง
- มะเร็งบางชนิด
- ปฏิกิริยาเคมี
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีอาการอย่างไร?
อาการแรกเริ่มของเยื่อหุ้มสมองอักเสบจะคล้ายกับไข้หวัด โดยจะมีอาการในไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วัน และจะทรุดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ อาการในเด็กเล็กจะแตกต่างจากในเด็กและผู้ใหญ่
อาการของเยื่อหุ้มสมองอักเสบในเด็กเล็ก ได้แก่
- กระหม่อมนูนโป่งออกมา
- เฉื่อยชาเพราะไม่มีแรง
- ง่วงนอนหรือปลุกแล้วไม่ค่อยตื่น
- ไม่ยอมกินอาหารหรือดูดนม
- ร้องไห้ไม่หยุด
- อาเจียน
อาการในเด็กหรือผู้ใหญ่ ได้แก่
- มีไข้สูงฉับพลัน
- คอแข็ง
- ปวดศีรษะรุนแรง
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ชัก
- สับสนมึนงง ไม่มีสมาธิ
- ง่วงนอนหรือตื่นยาก
- แพ้แสง
- ไม่อยากอาหาร
- ในบางประเภทจะมีผื่นขึ้น เช่น ในเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ภาวะแทรกซ้อนมีอาการอย่างไร?
อาการแทรกซ้อนของเยื่อหุ้มสมองอักเสบอาจเกิดขึ้นได้หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา ยิ่งปล่อยทิ้งไว้นานเท่าไหร่ ความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนเหล่านี้ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
- ความดันตก
- มีปัญหาเรื่องการเดิน
- การเรียนรู้บกพร่อง
- สูญเสียการได้ยิน
- มีปัญหาด้านความจำ
- ชัก
- ไตวาย
- สมองบาดเจ็บ
- เสียชีวิต
ปัจจัยเสี่ยงโรคเยื่อหุ่มสมองอักเสบ มีอะไรบ้าง?
ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ได้แก่
- อายุ: เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากแบคทีเรียพบได้บ่อยในคนที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปี และเกือบร้อยละ 70 เกิดขึ้นในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ
- ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่แออัด: แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบแพร่กระจายได้ง่ายขึ้นในพื้นที่ที่มีคนเยอะ
- ฉีดวัคซีนป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบไม่ครบ: ผู้ที่ยังรับวัคซีนไม่ครบตามกำหนดที่ควรได้รับทั้งตอนเป็นเด็กและผู้ใหญ่ อาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบมากกว่า
- การตั้งครรภ์: การตั้งครรภ์ช่วยเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้
- ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ: โรคเอดส์ โรคเบาหวาน โรคพิษสุราเรื้อรัง และยากดภูมิคุ้มกันทำให้การทำงานของภูมิคุ้มกันลดลงได้ ซึ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีวิธีการวินิจฉัยอย่างไร?
ในการวินิจฉัยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีต่าง ๆ โดยในระหว่างการตรวจ แพทย์อาจตรวจหาการติดเชื้อที่หู ศีรษะ ลำคอ และผิวหนังตามแนวสันหลัง
วิธีตรวจที่แพทย์มักใช้เพื่อวินิจฉัยเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ได้แก่
- การตรวจเลือดและเพาะเชื้อจากเลือด การตรวจเลือดใช้ตรวจหาการติดเชื้อได้ ขณะที่การเพาะเชื้อจากเลือดนั้น จะเจาะเอาตัวอย่างเลือดไปเพาะในจานเพาะเชื้อเพื่อดูว่าแบคทีเรียจะเติบโตหรือไม่ และอาจศึกษาตัวอย่างเลือดด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อตรวจหาแบคทีเรียอีกด้วย
- เทคนิครังสีวิทยาทางการแพทย์ แพทย์ใช้การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computed Tomography หรือ CT) และการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging หรือ MRI) เพื่อดูอาการบวมหรืออาการอักเสบในศีรษะ นอกจากนี้ การสแกนช่องอกหรือโพรงไซนัสอาจช่วยให้เห็นการติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้
- การเจาะน้ำไขสันหลัง วิธีนี้เป็นการเจาะเข็มเข้าไปที่ช่องไขสันหลัง ซึ่งอยู่บริเวณหลังส่วนล่าง แล้วดูดเอาตัวอย่างน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังไปตรวจหาว่าติดเชื้อหรือมีแบคทีเรียหรือไม่ โดยน้ำหล่อเลี้ยงไขสันหลังคือของเหลวที่อยู่ในบริเวณสมองและไขสันหลัง
หากแพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส อาจใช้เทคนิคการตรวจที่ชื่อ PCR (Polymerase Chain Reaction Amplification) ซึ่งเป็นวิธีทดสอบดีเอ็นเอ อีกทางเลือกหนึ่งคือการตรวจหาแอนติบอดีต่อไวรัสบางชนิด ซึ่งช่วยให้แพทย์ระบุสาเหตุของโรคและเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมได้
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีวิธีการรักษาอย่างไร?
เยื่อหุ้มสมองอักเสบแต่ละประเภทจะรักษาด้วยวิธีที่แตกต่างกัน การรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยให้ผู้ป่วยเยื่อหุ้มสมองอักเสบฟื้นตัวได้ดี แม้อาการจะหนัก
การรักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากแบคทีเรีย
วิธีรักษาเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากแบคทีเรียคือให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ นอกจากยาปฏิชีวนะแล้ว ในผู้ป่วยบางราย แพทย์อาจให้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ เช่น เดกซาเมทาโซน เพื่อบรรเทาอาการอักเสบที่เกิดจากแบคทีเรีย ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่มีอาการเฉียบพลันอาจจำเป็นต้องได้รับยาคอร์ติโคสเตียรอยด์หรือยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำอย่างเร่งด่วน วิธีนี้จะช่วยเรื่องการพักฟื้น และลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน
การรักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส
ส่วนมาก โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจะดีขึ้นเองในไม่กี่สัปดาห์ ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงอาจปฏิบัติดังนี้เพื่อให้อาการหายเร็วขึ้น
- พักผ่อนเยอะ ๆ
- ดื่มน้ำมาก ๆ
- รับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวดตัวหรือลดไข้
อย่าลืมว่ายาปฏิชีวนะใช้รักษาเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัสไม่ได้ ทั้งนี้ แพทย์อาจจ่ายยาคอติโคสเตียรอยด์ให้เพื่อลดอาการบวมในสมอง และจ่ายยาเพื่อควบคุมอาการชัก สำหรับผู้ที่เป็นเยื่อหุ้มสมองจากไวรัสเฮอร์ปีส์หรือไวรัสไข้หวัดใหญ่ อาจได้ยาต้านไวรัสมารับประทาน
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบประเภทอื่น ๆ
สำหรับโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบเรื้อรัง วิธีรักษาจะพิจารณาตามสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรค ขณะที่ยาต้านไวรัสช่วยรักษาเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อราได้ ในบางเคสอาจไม่จำเป็นต้องรักษา เพราะอาการจะหายไปเอง สำหรับเยื่อหุ้มสมองที่สัมพันธ์กับมะเร็ง แพทย์จะทำการรักษามะเร็งชนิดนั้น ๆ และสำหรับเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากอาการแพ้หรือโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง แพทย์อาจรักษาด้วยการให้ยาคอติโคสเตียรอยด์หรือยากดภูมิอื่น ๆ
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีวิธีป้องกันอย่างไร?
ปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- ล้างมือให้สะอาด การล้างมือช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- ปฏิบัติตัวให้ถูกสุขลักษณะ ไม่รับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มร่วมกับใคร และไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ช้อนส้อม แปรงสีฟัน หรือลิปมัน
- รักษาสุขภาพ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ทานผักผลไม้ และธัญพืชเต็มเมล็ด วิธีเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- ปิดปาก เมื่อจามหรือไอ ควรปิดปากและจมูกเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อโรค
- เลี่ยงรับประทานอาหารบางประเภทตามคำแนะนำของแพทย์โดยเฉพาะเมื่อตั้งครรภ์ ปรุงอาหารหรือแช่แข็งอาหารในอุณหภูมิที่ปลอดภัย เลี่ยงรับประทานนมที่ไม่ได้ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ หรือชีสที่ทำจากนมที่ไม่ได้ผ่านการพาสเจอร์ไรส์
การฉีควัคซีนป้องกันเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
นอกจากวิธีข้างต้นแล้ว การฉีดวัคซีนยังช่วยป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากแบคทีเรียบางชนิดได้ ตัวอย่างวัคซีนที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากแบคทีเรีย ได้แก่
- วัคซีนป้องกันเชื้อฮีโมฟิลุส อินฟลูเอนซา ชนิดบี (Haemophilus Influenzae Type B หรือ Hib): องค์การอนามัยโรค (World Health Organization หรือ WHO) และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ประเทศสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention หรือ CDC) แนะนำว่าเด็กควรรับวัคซีนประเภทนี้ตั้งแต่อายุ 2 เดือน รวมถึงผู้ใหญ่ที่เป็นโรคโลหิตจางที่มีเม็ดเลือดแดงรูปเคียว (Sickle Cell Anemia) เอดส์ หรือผู้ที่ไม่มีม้าม
- วัคซีนโรคจากเชื้อนิวโมคอคคัสชนิดคอนจูเกต (Pneumococcal Conjugate Vaccine) หรือวัคซีน PCV13 และ PCV15: CDC กำหนดให้วัคซีนชนิดนี้เป็นวัคซีนที่เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบปีควรได้รับ โดยเด็กอายุระหว่าง 2 – 5 ปี ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคนิวโมคอคคัสสูง รวมถึงผู้ที่เป็นโรคหัวปอดและหัวใจเรื้อรัง และเป็นมะเร็ง ควรได้รับวัคซีนเพิ่ม รวมถึงผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปีควรได้รับวัคซีนเช่นกัน
- วัคซีนโรคจากเชื้อนิวโมคอคคัสชนิดโพลีแซคคาไรด์ (Pneumococcal Polysaccharide Vaccine) หรือวัคซีน PPSV23: วัคซีนประเภทนี้เหมาะสำหรับผู้ใหญ่และเด็กโตที่ต้องการวัคซีนป้องกันแบคทีเรียนิวโมคอคคัส โดย CDC แนะนำว่าผู้ที่ควรได้รับวัคซีนประเภทนี้ ได้แก่ ผู้ใหญ่อายุ 60 ปีขึ้นไป วัยรุ่นและเด็กอายุ 2 ขวบปีขึ้นไปที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือมีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือโรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว รวมถึงผู้ที่ไม่มีม้าม
- วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่นชนิดคอนจูเกต (Meningococcal Conjugate Vaccine) หรือวัคซีน MenACWY: CDC แนะนำให้เด็กอายุ 11 – 12 ปี รับวัคซีนประเภทนี้ 1 เข็ม และรีบเข็มกระตุ้นเมื่อมีอายุ 16 ปี หากเข็มแรกได้รับในช่วง 13 -15 ปี ควรรับเข็มกระตุ้นช่วง 16 – 18 ปี หากได้รับเข็มแรกตอนอายุ 16 ปี หรือมากกว่า ไม่จำเป็นต้องรับเข็มกระตุ้น นอกจากนี้ เด็กอายุระหว่าง 2 เดือน ถึง 10 ปี ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากแบคทีเรีย หรือใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นโรคนั้น รวมถึงผู้ใหญ่ที่มีความเสี่ยง เช่น เป็นโรคเอดส์ อยู่ในที่แอดอัด เช่น หอพัก หรือสายทหาร
- วัคซีน Serogroup B Meningococcal หรือวัคซีน MenB: CDC แนะนำให้ผู้ใหญ่และเด็กอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปที่มีความเสี่ยงเป็นโรคไข้กาฬหลังแอ่นรับวัคซีนประเภทนี้ รวมถึงผู้ใหญ่และเด็กที่เป็นโรคโลหิตจางที่มีเม็ดเลือดแดงรูปเคียว โดนตัดม้ามออกไป หรือผู้ที่ไม่มีม้าม
เตรียมตัวก่อนเข้าพบแพทย์
เนื่องจากผู้ป่วยอาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงตามมาเมื่อเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ จึงควรพบแพทย์ทันทีหากสงสัยว่าเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบไม่ว่าจะชนิดใดก็ตาม หากไม่มั่นใจว่าอาการที่มีเป็นอาการของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือไม่ ลองทำตามข้อปฏิบัติต่อไปนี้เพื่อเตรียมตัวก่อนพบแพทย์
- สอบถามถึงสิ่งที่ควรหรือไม่ควรทำทั้งก่อนและหลังจากที่พบแพทย์
- จดอาการที่ตัวเองมี
- เขียนรายละเอียดส่วนตัวที่สำคัญ เช่น กิจกรรมที่ทำไม่นานมานี้ วันหยุดที่ผ่านมาไปที่ไหนมาบ้าง หรือเล่นกับสัตว์มาหรือเปล่า
- จดรายชื่อยาที่รับประทาน
- พาคนในครอบครัวหรือเพื่อนไปโรงพยาบาลด้วย เพื่อช่วยจำรายละเอียดสำคัญและอยู่เป็นเพื่อนคุณเมื่อถึงยามจำเป็น
- จดคำถามที่อยากจะถามแพทย์
คำถามที่พบได้บ่อย
- สามารถตรวจโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่บ้านได้ไหม?
ณ ปัจจุบันยังไม่มีวิธีที่ตรวจโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่บ้านได้ จึงควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหากมีข้อสงสัยเพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโรคนี้อย่างทันท่วงทีและมีความแม่นยำ
คำแนะนำจากแพทย์โรงพยาบาลเมดพาร์ค
แม้โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจะเป็นโรคที่ไม่พบได้บ่อย แต่ความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ การรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวได้เต็มที่ โดยแนะนำให้เข้ารักษาตัวทันทีหากมีอาการ