สะเก็ดเงิน (Psoriasis)
สะเก็ดเงิน (Psoriasis) คือ โรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์ผิวตนเองทำให้เกิดผื่นแดง แห้ง คัน เป็นแผ่นนูนหนา ตกสะเก็ดเป็นสีเงินหรือสีขาวลอกออกเป็นขุยคล้ายรังแคตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ข้อศอก ลำตัว หัวเข่า เล็บและข้อ โรคสะเก็ดเงิน เป็นโรคเรื้อรังที่รักษาได้แต่ไม่หายขาดและอาจเป็นสาเหตุที่นำไปสู่โรคแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือภาวะเมตาบอลิกซินโดรม การพบแพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคผิวหนังเพื่อรักษาสะเก็ดเงินที่ต้นเหตุ จะช่วยป้องกันและควบคุมโรคให้สงบลงได้
สะเก็ดเงิน มีสาเหตุเกิดจากอะไร?
สาเหตุหลักของสะเก็ดเงินเกิดจากภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง โดยเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำลายเซลล์ผิวดี โดยเข้าใจผิดว่าเซลล์ผิวดีเป็นแบคทีเรียหรือไวรัสที่รุกรานจากภายนอกจนทำให้เกิดผิวหนังอักเสบ เกิดการสะสมของเซลล์ผิวหนังทั้งใหม่ เก่า พอกพูนเป็นแผ่นหนากลายเป็นผื่นผิวหนังอักเสบสะเก็ดเงินที่แห้ง ตกสะเก็ด และลอกออกเป็นขุย โดยสาเหตุและปัจจัยกระตุ้นให้เกิดสะเก็ดเงินอื่น ๆ ได้แก่
- พันธุกรรม (Genetics) เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่เป็นสาเหตุของโรคสะเก็ดเงิน โดยพบว่า 1 ใน 3 ของผู้ที่เป็นสะเก็ดเงินมีประวัติบุคคลในครอบครัวเดียวกันเป็นโรคสะเก็ดเงินมาก่อน
- สิ่งแวดล้อม (Environmental factors) เช่น อากาศร้อนหรือเย็น การอยู่ท่ามกลางแสงแดดจ้า การถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
- การติดเชื้อไวรัส เช่น กลุ่มไรโนไวรัส (Rhinoviruses) ไวรัสเอชไอวี (HIV) ไวรัสเอชพีวี (HPV) ไวรัสตับอักเสบซี (HCV)
- การติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น สเตปโตคอคคัส (Streptococcus) ในระบบทางเดินหายใจ สาเหตุการเจ็บคอ ทอนซิลอักเสบ
- การพักผ่อนไม่เพียงพอ
- ความเครียด
- ยาบางชนิด เช่น ยาเบต้า บล็อกเกอร์ (Beta-blockers) ยาลิเทียม (Lithium)
- การได้รับบาดเจ็บที่ผิวหนัง หรือผิวหนังอักเสบหลังการผ่าตัด
สะเก็ดเงิน มีกี่ชนิด?
โรคสะเก็ดเงินสามารถจำแนกออกได้หลายชนิด ตามลักษณะภายนอกที่ปรากฎและการกระจายตัวของโรค ดังต่อไปนี้
- สะเก็ดเงินชนิดผื่นหนา (Plaque psoriasis/Psoriasis vulgaris) เป็นสะเก็ดเงินที่มีรอยโรคเป็นผื่นแดง แผ่นหนา ขยายตัวอย่างช้า ๆ ขอบชัด หลายรูปทรง ปกคลุมด้วยขุยขาว หรือขุยเงินบริเวณหนังศีรษะ ลำตัว ข้อศอก แขนขา หลังส่วนล่าง หัวเข่า บริเวณที่มีการเสียดสีกันของผิวหนัง เช่น รักแร้ ใต้ราวนม ขาหนีบ โดยสะเก็ดเงินชนิดผื่นหนาเป็นสะเก็ดชนิดที่พบบ่อยที่สุดถึงร้อยละ 80-90 ของสะเก็ดเงินทั้งหมด
- สะเก็ดเงินชนิดขนาดเล็ก (Guttate psoriasis) เป็นสะเก็ดเงินที่มีรอยโรคเป็นผื่นแดง หรือตุ่มแดงแข็งทรงหยดน้ำขนาดเล็กไม่เกิน 1 เซนติเมตร เป็นขุยขาวกระจายตามลำตัว แขนขา และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย โดยพบว่าผู้ที่เป็นสะเก็ดเงินชนิดขนาดเล็กมักมีสาเหตุจากการติดเชื้อสเตปโตคอคคัสในระบบทางเดินหายใจส่วนบนนำมาก่อน
- สะเก็ดเงินชนิดตุ่มหนอง (Pustular psoriasis) เป็นสะเก็ดเงินที่มีรอยโรคเป็นตุ่มหนองอักเสบบวมแดงขนาดเล็ก 2-3 มิลลิเมตรจำนวนมาก กระจายตัวทั่วบริเวณผิวหนัง ลำตัว แขนขา ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ใต้เล็บ มีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อน หากสะเก็ดเงินชนิดตุ่มหนองเห่อมาก อาจมีไข้ร่วม
- สะเก็ดเงินชนิดผื่นแดงลอกทั้งตัว (Erythrodermic psoriasis) เป็นสะเก็ดเงินชนิดรุนแรงที่มีรอยโรคเป็นผื่นแดง คัน ลอกเป็นขุยขาวถึงกว่าร้อยละ 90 ของร่างกาย โดยอาจเป็นทั้งแบบสั้นหรือเฉียบพลัน หรือแบบระยะยาวหรือเรื้อรัง และอาจมีอาการเริ่มต้นจากการเป็นสะเก็ดเงินชนิดผื่นหนานำมาก่อน อาจมีตุ่มหนอง อาการอ่อนเพลีย และมีไข้สูงร่วม
- สะเก็ดเงินบริเวณซอกพับ (Inverse psoriasis) เป็นสะเก็ดเงินเรื้อรังที่มีรอยโรคเป็นผื่นแดงขึ้นเป็นหย่อม ๆ มักไม่ค่อยมีขุย ขึ้นตามบริเวณผิวหนังที่มีการเสียดสีและมีเหงื่อออก เช่น ตามซอกพับต่าง ๆ ของร่างกาย ใต้ราวนม รักแร้ ขาหนีบ ร่องก้น
- สะเก็ดเงินบริเวณมือเท้า (Palmoplantar psoriasis) เป็นสะเก็ดเงินที่มีรอยโรคเป็นผื่นแดง ขอบชัด ขึ้นที่บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า เป็นขุยขาว ลอกออกเป็นขุย โดยผื่นสะเก็ดเงินอาจลามมาที่บริเวณหลังมือ หรือหลังเท้าได้
- เล็บสะเก็ดเงิน (Psoriatic nails) เป็นสะเก็ดเงินที่เล็บมือ เล็บเท้า ที่ทำให้เกิดความผิดปกติของเล็บ เช่น เล็บผิดรูป เล็บร่อน เล็บเป็นหลุม เล็บหนาผิดปกติ และผิวหนังบริเวณเล็บเปลี่ยนสี
- สะเก็ดเงินที่คาบเกี่ยวกับโรคเซ็บเดิร์ม (Sebopsoriasis) เป็นสะเก็ดเงินที่มีรอยโรคเป็นตุ่มบนหนังศีรษะ ใบหน้า หู และหน้าอก ลอกออกเป็นขุยเหลืองของคราบไขมัน อันมีสาเหตุเกิดจากโรคเซ็บเดิร์ม (Seborrheic dermatitis) หรือโรคผื่นแพ้ไขมัน
สะเก็ดเงิน มีอาการอย่างไร?
สะเก็ดเงิน มีอาการแสดงและความรุนแรงของโรคแตกต่างกันตามชนิด อวัยวะที่พบโรค ความรุนแรง ขนาด การกระจายตัวของโรค และความระยะเวลาการดำเนินโรค โดยทั่วไป สัญญาณและอาการของโรคสะเก็ดเงินคือผื่น หรือแผ่นผิวหนังอักเสบที่มีลักษณะดังต่อไปนี้
- ผื่น หรือผิวหนังอักแสบก่อตัวเป็นแผ่นนูนหนา ขอบแผ่นชัดเจน อาจมีรูปทรงหยักโค้ง ผิวหนังด้านบนหลุดลอกออกเป็นขุย แต่เกล็ดผิวหนังด้านล่างจะเกาะติดกันแข็งเป็นแผ่นหนา
- ผื่น หรือแผ่นผิวหนังอักเสบหลายขนาด เล็ก-ใหญ่ไม่เท่ากัน ตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าหยอดน้ำ หรือขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ
- ผื่น หรือแผ่นผิวหนังอักเสบที่ทำให้สีผิวเปลี่ยนสี เช่น ผื่นสีม่วง ตกสะเก็ดเป็นขุยสีขาว ผื่นสีแดงหรือชมพู ตกสะเก็ดเป็นขุยสีเงิน
- ผื่น หรือแผ่นผิวหนังอักเสบที่ทำให้ผิวแห้ง แตก คัน แสบร้อนบริเวณผิวหนัง
- ผื่น หรือแผ่นผิวหนังอักเสบที่หากเกา อาจทำให้เกิดแผลฉีกขาด และมีเลือดไหล
- ผื่น หรือแผ่นผิวหนังอักเสบที่มีอาการเจ็บแสบอย่างรุนแรง ปวดบวม และมีไข้ร่วม
- ผื่น หรือแผ่นผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ที่เป็น ๆ หาย ๆ 2 - 3 สัปดาห์จนถึงหลายเดือน อาการจึงค่อยทุเลาลงแล้วกลับมาเป็นใหม่
การวินิจฉัยสะเก็ดเงิน มีวิธีการอย่างไร?
แพทย์ผิวหนังจะทำการวินิจฉัยสะเก็ดเงินโดยการซักประวัติ และตรวจสภาพผิวภายนอกรวมทั้งหนังศีรษะ หรือเล็บเพื่อประเมินอาการและหารอยโรค รวมถึงประเมินความรุนแรงของโรค โดนแพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
- การซักประวัติ (Medical history) เช่น การสังเกตเห็นผื่นหรือตุ่มแดงขึ้นเมื่อใด อาการคันหรืออาการแสบร้อนบนผิวหนังเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อใด ผิวหนังลอกหรือตกสะเก็ดมากน้อยเพียงใด อาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นล่าสุด ยาที่ทานเป็นประจำหรือเพิ่งเลิกทาน สบู่หรือแชมพูที่ใช้เป็นประจำ ประวัติบุคคลในครอบครัวเดียวกันเคยเป็นโรคสะเก็ดเงินมาก่อนหรือไม่ ความเครียด การพักผ่อน รวมถึงปัจจัยอื่นที่อาจก่อให้เกิดโรค
- การตรวจร่างกาย (Physical examination) แพทย์จะบันทึกตำแหน่ง ขนาด ลักษณะของผื่น และลักษณะของขุยสะเก็ดเงินที่ลอกออกบนผิวหนัง
- การตัดชิ้นเนื้อผิวหนัง (Skin biopsy) แพทย์ผิวหนังจะทำการเก็บตัวอย่างผื่นสะเก็ดเงินเพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยาในห้องปฏิบัติการเพื่อวินิจฉัยและยืนยันโรค โดยแพทย์จะทำการตัดผิวหนังบริเวณตุ่มหรือผื่นคัน หรือบริเวณแผลเรื้อรัง รวมทั้งผิวหนังที่มีสีผิวผิดปกติ หรือสะเก็ดผิวหนังที่หลุดลอก และทำการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อแยกโรค และระบุชนิดของสะเก็ดเงิน
การรักษาสะเก็ดเงิน มีวิธีการอย่างไร?
แพทย์จะพิจารณาแนวทางการรักษาโรคสะเก็ดเงินจากผลการวินิจฉัยชนิดของสะเก็ดเงิน รวมถึงระดับความรุนแรง และอาการข้างเคียงอื่น ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อควบคุม ยับยั้งไม่ให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวเร็วเกินไปจนทำให้ผิวหนังลอกและตกสะเก็ด ทั้งนี้ แพทย์อาจใช้วิธีการรักษาหลายวิธีร่วมกันเพื่อให้ผลในการรักษาที่ดีที่สุด ได้แก่
ยาทาภายนอก (Topical medications)
- ยาทากลุ่มคอติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เป็นยาทาภายนอกรูปแบบแชมพู ครีม หรือโลชั่นที่ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงินในระดับเล็กน้อยถึงปานกลางที่บริเวณใบหน้า บริเวณซอกพับของผิว เป็นยาที่ให้การตอบสนองต่อการรักษาที่ดี แต่ไม่ควรใช้ยานี้ติดต่อกันเป็นเวลานานเพราะอาจทำให้ผิวบาง และยาอาจกดการทำงานของต่อมหมวกไต การใช้ยาควรอยู่ในความดูแลของแพทย์
- ยาทากลุ่มอนุพันธุ์วิตามิน D (Calipotriol) ช่วยทำให้การผลัดเซลล์ผิวหนังเป็นปกติ ช่วยลดความหนาของผื่น โดยในปัจจุบันมีการนำยาทากลุ่มอนุพันธ์วิตามินดีมาใช้ร่วมกับยากลุ่มคอติโคสเตียรอยด์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา แต่ไม่ควรใช้ยากลุ่มนี้ในปริมาณมากเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวบาง และควรอยู่ในความควบคุมดูแลโดยแพทย์
- ยาทากลุ่มแอนทราลิน (Anthralin, dithranol) เป็นยาทาภายนอกเนื้อครีม กลุ่มน้ำมันทาร์ โดยทายาลงบนผื่นสะเก็ดเงิน (ยกเว้นใบหน้า และอวัยวะเพศ) เป็นเวลาสั้น ๆ แล้วล้างออก ช่วยชะลอการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ช่วยขจัดเซลล์ผิวเสียสะเก็ดเงิน และช่วยทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ทั้งนี้ ยาอาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง และทำให้สีผิวบริเวณที่ทายาคล้ำขึ้น
- ยาที่มีส่วนผสมของน้ำมันทาร์ (Tar) เป็นยาทาภายนอกที่มีประสิทธิภาพดี ปัจจุบันมีการผลิตในหลายรูปแบบ เช่น แชมพู ขี้ผึ้ง ครีม โลชั่น มีสรรพคุณช่วยยับยั้งการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่เร็วผิดปกติ ช่วยลดอาการคัน อักเสบ แต่อาจมีกลิ่นแรง และอาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังได้
- ยาทากลุ่ม Calcineurin inhibitor (Tacrolimus, pimecrolimus) เป็นยารักษาสะเก็ดเงินกลุ่มใหม่ที่ช่วยทำให้ผื่นสงบลง ลดการสะสมก่อตัวของแผ่นสะเก็ดเงิน ใช้ทาบริเวณผิวหนังที่บอบบาง เช่น รอบดวงตา ใบหน้า หรือซอกพับ ไม่ควรใช้ยานี้เป็นระยะเวลานานเพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งผิวหนัง หรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรไม่ควรใช้ยานี้
- สารให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง (Skin moisturizer) เป็นยาทาภายนอกที่ปราศจากน้ำหอม อ่อนโยนต่อผิว ไม่ทำให้ผิวระคายเคือง มีความเสี่ยงต่ำที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ ดูดซึมเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ดี ช่วยลดอาการคัน แสบร้อน และช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น
การรักษาด้วยการฉายแสงอาทิตย์เทียม (UV Phototherapy)
- การฉายแสงยูวีบี (UVB Light Therapy) เป็นการรักษาด้วยการฉายแสงอาทิตย์เทียมอัลตราไวโอเลตบีชนิดคลื่นแคบ (NB-UVB) ที่มีความปลอดภัยสูง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือนเพื่อรักษาอาการของโรคให้ดีขึ้น
- การฉายรังสีอัลตราไวโอเลต เอ พูว่า (PUVA Therapy) เป็นการฉายแสง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือนร่วมกับการให้ยาเซอราเลน (Psoralen) ในผู้ป่วยสะเก็ดเงินที่มีระดับความรุนแรงของโรคระดับปานกลางถึงรุนแรงมาก เพื่อชะลอการสร้างเซลล์ผิวใหม่
- การฉายแสง Excimer light เป็นการฉายรังสีอัลตราไวโอเลตคลื่นสั้น (UV 380 nm) ประสิทธิภาพสูง ที่มีการกรองรังสีอัลตราไวโอเลตที่เป็นอันตรายออกไป และช่วยปรับสมดุลการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายเพื่อช่วยรักษาโรคสะเก็ดเงิน เป็นการฉายแสงที่ไม่ทำให้ผิวไหม้เกรียม และไม่ทำให้เจ็บปวดผิวหนังระหว่างการรักษาแต่อย่างใด
การรักษาด้วยยาชนิดรับประทานและยาฉีด (Oral and injected medications)
ในผู้ที่มีอาการของโรคสะเก็ดเงินระดับปานกลางถึงรุนแรง ผู้ที่มีอาการของโรคสะเก็ดเงินมากกว่าร้อยละ 10 ของผิวหนังทั้งหมด รวมถึงผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น แพทย์อาจพิจารณาการรักษาแบบผสมผสานทั้งยาชนิดรับประทาน และยาฉีด เพื่อช่วยให้ผลในการรักษาที่ดีขึ้น
- ยาชนิดรับประทาน (Oral medications) เช่น ยาเมโธเทรกเซท (Methotrexate) ยาอาซิเทรติน (Acitretin) ยาเรตินอยด์ (Retinoids) หรือยาไซโคลสปอริน (Cyclosporine) โดยยาอาจมีผลข้างเคียง การใช้ยาควรอยู่ในความควบคุมดูแลโดยแพทย์
- ยาฉีดกลุ่มชีวโมเลกุล (Biologic agents) เป็นยากลุ่มใหม่ที่ช่วยกดภูมิคุ้มกันร่างกาย ช่วยยับยั้งวงจรการเกิดโรคและช่วยให้อาการดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ เนื่องจากตัวยามีผลในการกดภูมิคุ้มกัน การใช้ยาจึงควรอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์
ภาวะแทรกซ้อนของสะเก็ดเงิน เป็นอย่างไร?
ผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงิน มีความเสี่ยงสูงที่จะมีโรคหรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา เช่น
- โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน (Psoriatic arthritis) ที่ทำให้มีอาการปวด บวม และตึงตามข้อ ปลายนิ้ว หรือกระดูกสันหลัง
- การเปลี่ยนแปลงของสีผิวชั่วคราว (Temporary skin color changes)
- โรคเกี่ยวกับดวงตา เช่น โรคตาแดง (Conjunctivitis) เปลือกตาอักเสบ (Blepharitis) หรือม่านตาอักเสบ (Uveitis)
- โรคอ้วน (Obesity)
- เบาหวานประเภทที่ 2 (Type 2 diabetes)
- ความดันโลหิตสูง (High blood pressure)
- โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular disease) โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
- กลุ่มโรคแพ้ภูมิตัวเอง เช่น โรคเซลิแอค (Celiac) โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Sclerosis) หรือโรคโครห์น (Crohn’s disease)
- โรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า (Depression)
การป้องกันสะเก็ดเงิน มีวิธีการอย่างไร?
สะเก็ดเงินเป็นโรคที่ยังไม่พบวิธีป้องกัน การหมั่นดูแลสุขภาพร่างกาย สุขภาพผิว การพักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคสะเก็ดเงินได้ โดยมีวิธีการดังต่อไปนี้
- ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ หรือครีมบำรุงผิวทาผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวแห้งเสีย
- หมั่นทำความสะอาดผิวเป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับอากาศแห้งและเย็น
- หลีกเลี่ยงยาที่อาจกระตุ้นการเกิดโรคสะเก็ดเงิน
- ป้องกันผิวไม่ให้มีบาดแผล ที่อาจนำไปสู่การติดเชื้อได้
- รับแสงแดดพอประมาณ ไม่มากเกินไป
- พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด
สะเก็ดเงิน ติดต่อไหม?
สะเก็ดเงิน ไม่ใช่โรคติดต่อ และไม่สามารถติดต่อถึงกันได้เพียงการสัมผัสกับตุ่ม หรือผื่นผิวหนังของผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงิน
สะเก็ดเงิน โรคผิวหนังเรื้อรัง ที่รักษาอาการให้ดีขึ้นได้
สะเก็ดเงิน เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่สามารถรักษาอาการให้ดีขึ้นได้แม้ยังไม่พบวิธีการรักษาให้หายขาด การรักษาสะเก็ดเงินจำเป็นต้องใช้ระยะเวลา ความมานะพยายามอย่างต่อเนื่องในการรักษาโรคให้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นสะเก็ดเงินเกินกว่าร้อยละ 10 ของผิวหนังร่างกาย ผื่นสะเก็ดเงินอาจส่งผลกระทบด้านจิตใจ ส่งผลเสียต่อบุคลิกภาพ และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
ผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงินจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการรักษาอย่างเป็นระบบ ทั้งแบบเดี่ยวหรือแบบผสมผสาน โดยแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อช่วยให้อาการของโรคสะเก็ดเงินและอาการข้างเคียงอื่น ๆ ทุเลาลง พร้อมทั้งช่วยปรับสมดุลระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย และระบบผิวหนังให้กลับมาทำงานได้ตามปกติ