เลือกหัวข้อที่อ่าน
- ภาวะม่านตาอักเสบ
- ประเภทของภาวะม่านตาอักเสบ
- อาการม่านตาอักเสบ เป็นอย่างไร?
- ม่านตาอักเสบ มีสาเหตุเกิดจากอะไร?
- ม่านตาอักเสบ มีวิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร?
- ม่านตาอักเสบ มีวิธีการรักษาอย่างไร?
ภาวะม่านตาอักเสบ
ภายในลูกตาของคนเรานั้น มีผนังชั้นกลางของลูกตา (uvea) ซึ่งประกอบด้วยโครงสร้างย่อย ๆ ได้แก่ ม่านตา (iris) ทำหน้าที่ปรับระดับแสงที่เข้าในตา เนื้อเยื่อซิลเลียรี่ (ciliary body) ทำหน้าที่สร้างน้ำในลูกตา (aqueous humor) และเนื้อเยื่อคอรอยด์ (choroid) ซึ่งเป็นชั้นเส้นเลือดอยู่ระหว่างตาขาว (sclera) กับจอประสาทตา (retina) ทำให้หน้าที่ให้สารอาหารและออกซิเจนแก่จอตา
ม่านตาอักเสบ เป็นการอักเสบของผนังชั้นกลางของลูกตา ส่งผลให้เนื้อเยื่อภายในลูกตาทำงานได้น้อยลง จากการถูกทำลายโดยเซลล์เม็ดเลือดขาวและสารกระตุ้นการอักเสบ ซึ่งอาจส่งผลให้การมองเห็นลดลงหรือถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้ ดังนั้น การพบจักษุแพทย์อย่างทันท่วงที เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ภาวะม่านตาอักเสบ มีกี่ประเภท?
สามารถแบ่งตามตำแหน่งของการอักเสบที่เกิดขึ้น ดังนี้
- ม่านตาอักเสบส่วนหน้า (anterior uveitis) เป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด โดยการอักเสบจะเกิดขึ้นด้านหน้าของลูกตา โดยเฉพาะในบริเวณม่านตาหรือเนื้อเยื่อซิลเลียรี่ ประเภทนี้มักทำให้เกิดอาการตาแดงหรือปวดตาเฉียบพลัน
- ม่านตาอักเสบส่วนกลาง (intermediate uveitis) จะพบการอักเสบในบริเวณวุ้นตาเป็นหลัก รวมถึงอาจพบเส้นเลือดจอตาอักเสบร่วมได้
- ม่านตาอักเสบส่วนหลัง (posterior uveitis) เป็นการอักเสบในชั้นจอตาหรือคอรอยด์ เป็นชนิดที่ทำให้การมองเห็นลดลงได้อย่างมาก
- ม่านตาอักเสบตลอดทั้งส่วนของลูกตา (panuveitis) ซึ่งเกิดการอักเสบตั้งแต่ส่วนหน้าถึงส่วนหลังของดวงตา
อาการม่านตาอักเสบ เป็นอย่างไร?
อาการของม่านตาอักเสบ มีความหลากหลายขึ้นกับตำแหน่งและความรุนแรงของการอักเสบ โดยสามารถเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันหรือค่อยเป็นค่อยไป และเป็นได้ในเฉพาะตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง อาการทั่วไปที่พบได้บ่อยได้แก่
- ปวดตา ตาแดง มักไม่มีขี้ตา
- สู้แสงไม่ได้
- การมองเห็นลดลง
- มองเห็นจุดลอยไปลอยมา
ม่านตาอักเสบ มีสาเหตุเกิดจากอะไร?
ม่านตาอักเสบสามารถมีสาเหตุที่หลากหลาย ได้แก่ การติดเชื้อ ภาวะภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ มะเร็งจอตา ซึ่งพบได้น้อย อย่างไรก็ตาม มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วย แม้มีการตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฏิบัติการแล้ว ก็ไม่พบสาเหตุของม่านตาอักเสบที่ชัดเจน โรคม่านตาอักเสบ สามารถสัมพันธ์กับโรคอื่น ๆ ได้ เช่น โรคติดเชื้อ ได้แก่ โรคเริม งูสวัด โรคซิฟิลิส โรคท็อกโซพลาสโมซิส (Toxoplasmosis) วัณโรค โรคภูมิคุ้มกันตนเอง ได้แก่ โรคเบเชต (Behcet’s disease) โรคลูปัสหรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) โรคซาร์คอยโดซิส (Sarcoidosis) ข้อกระดูกสันหลังอักเสบยึดติด (Ankylosing spondylitis) เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อน
- โรคต้อกระจก
- โรคต้อหิน
- เส้นประสาทตาได้รับความเสียหาย
- การสูญเสียการมองเห็นถาวร
- จอประสาทตาลอก
- จอประสาทตาเป็นแผล
- จอประสาทตาบวม
ม่านตาอักเสบ มีวิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร?
- การประเมินการมองเห็น
- การวัดความดันลูกตา
- การตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ทางตา (Slit-lamp microscope)
- การถ่ายภาพจอประสาทตา (Color fundus retinal photography)
- การตรวจวินิจฉัยจอประสาทตาด้วยคลื่นแสง (Optical coherence tomography: OCT)
- การตรวจจอประสาทตาด้วยการฉีดสารเรืองแสง (Fluorescein angiography)
- การตรวจเลือดเพื่อหาสาเหตุจากการติดเชื้อหรือโรคภูมิคุ้มกันตนเอง
- การตรวจทางรังสีวิทยาได้แก่ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ม่านตาอักเสบ มีวิธีการรักษาอย่างไร?
การรักษาทั่วไปในระยะเริ่มต้นมีเป้าหมายเพื่อลดการอักเสบให้ได้เร็วและมากที่สุด เพื่อป้องกันการเสียหายของเนื้อเยื่อในลูกตาจากการอักเสบที่ตามมา ประเภทของยาที่ใช้รักษาประกอบด้วย
- ยาสเตียรอยด์ มีหลายรูปแบบ หากเป็นม่านตาอักเสบส่วนหน้าอาจใช้ ยาหยอดสเตียรอยด์หยอดบ่อยๆ หากเป็นม่านตาอักเสบส่วนกลางหรือหลัง มักใช้เป็นแบบรับประทานหรือให้ทางหลอดเลือดดำ หรืออาจใช้รูปแบบฉีดเข้าวุ้นตาในบางราย
- ยาหยอดตาเขยายม่านตา ช่วยบรรเทาอาการเจ็บตาจากอักเสบที่ม่านตาและเนื้อเยื่อซิลเลียรี่ (ciliary body)
- ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัส เพื่อควบคุมการติดเชื้อ
- ยากดภูมิคุ้มกัน ในกรณีโรคม่านตาอักเสบมีความรุนแรง หรือจำเป็นต้องใช้ยาสเตียรอยด์เป็นระยะเวลานาน
เมื่อรับการวินิจฉัยและรักษาแล้ว ผู้ป่วยควรพบแพทย์ตามนัด เพื่อติดตามอาการ ประเมินการอักเสบอย่างใกล้ชิด เนื่องจากต้องมีการปรับยาอยู่ต่อเนื่อง ตลอดจนเฝ้าระวังผลข้างเคียงจากการใช้ยาที่อาจตามมา เช่น ภาวะต้อกระจก หรือ ความดันตาสูง
เมื่อการอักเสบในม่านตาสงบแล้ว หากผู้ป่วยกลับมามีอาการอีกครั้งหรืออาการแย่ลง ควรเข้ารับการตรวจโดยจักษุแพทย์โดยเร็ว