ยาคุมฉุกเฉิน อันตรายจริงหรือ ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย
หลายคนคงเคยได้ยินคำเตือนที่ว่า ยาคุมฉุกเฉิน ห้ามกินเกินสองครั้งในชีวิต เพราะเป็นยาที่มีผลข้างเคียงและอันตราย แต่ข้อมูลนี้เป็นจริงมากน้อยแค่ไหน แล้วเราสามารถใช้ยาคุมกำเนิดให้มั่นใจ ปลอดภัยได้จริงหรือไม่ บทความนี้เราจะมาหาคำตอบกัน
รู้จักยาคุมกำเนิด
ยาคุมกำเนิด เป็นวิธีการคุมกำเนิดอย่างหนึ่ง ซึ่งจะใช้ฮอร์โมนมาเป็นตัวป้องกันการปฏิสนธิระหว่างฟองไข่กับอสุจิ ฮอร์โมนที่ใช้มี 2 รูปแบบ ทั้งฮอร์โมนเดี่ยว (โปรเจสเตอโรน) และฮอร์โมนรวม (เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน) ซึ่งมีหลายประเภท ทั้งยากิน แผ่นแปะ ห่วงที่ใส่ช่องคลอด ห่วงอนามัยที่ใส่ในโพรงมดลูก ยาฉีด และยาฝัง
กลไกการคุมกำเนิดหลัก ๆ ของยาคุมกำเนิด ได้แก่
- ยับยั้งการตกไข่ เมื่อไม่มีการตกไข่ ก็จะไม่เกิดการปฏิสนธิ
- ออกฤทธิ์เฉพาะที่ คือ ทำให้มูกที่ปากมดลูกข้นเหนียว ยากต่อการเจาะของอสุจิ หรือทำให้ผนังโพรงมดลูกบาง ไม่เหมาะต่อการฝังตัวของตัวอ่อน
ในส่วนของยาคุมฉุกเฉิน ก็มีทั้งแบบใช้ฮอร์โมนเดี่ยว และฮอร์โมนรวม และในรูปแบบแอนติโปรเจสโตเจน นอกจากนี้ยังสามารถใช้ห่วงอนามัยเป็นยาคุมฉุกเฉินได้เช่นกัน ฮอร์โมนที่ใช้ในยาคุมฉุกเฉินจะมีปริมาณค่อนข้างสูง จึงมีวัตถุประสงค์ในการใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ตั้งใจ การคุมกำเนิดตามปกติเกิดผิดพลาด เช่น ลืมกินยาคุมกำเนิดปกติ ใส่ถุงยางอนามัย แต่ถุงยางอนามัยหลุด หรือขาด หรือในกรณีถูกล่วงละเมิดทางเพศ เป็นต้น
รู้จักกับประเภทของยาคุมกำเนิด
ประเภทยาคุมกำเนิด จะแบ่งตามส่วนประกอบของฮอร์โมนที่ใช้ ได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ ได้แก่
- ยาคุมกำเนิดที่ใช้ฮอร์โมนเดี่ยว มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนอย่างเดียว
- ยาคุมกำเนิดที่ใช้ฮอร์โมนรวม มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและฮอร์โมนเอสโตรเจน
ทั้งสองชนิดมีคุณสมบัติ หรือกลไกการทำงานช่วยยับยั้งการตกไข่ ทำให้มูกบริเวณปากมดลูกเหนียวข้น อสุจิจึงไม่สามารถเข้ามาในโพรงมดลูกและเข้าไปปฏิสนธิกับฟองไข่ที่ปีกมดลูกได้ และทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบาง ทำให้ตัวอ่อนที่ปฏิสนธิแล้วไม่สามารถมาฝังตัวและเจริญเติบโตในโพรงมดลูกได้
และยาคุมกำเนิดทั้งที่ใช้ฮอร์โมนเดี่ยว หรือ ฮอร์โมนรวม ยังแบ่งเป็นหลายรูปแบบ ได้แก่
ฮอร์โมนเดี่ยว
- ยากิน สำหรับกินวันละ 1 เม็ด โดยหนึ่งแผงมี 28 เม็ด กินต่อเนื่อง โดยจะต้องกินยาอย่างเคร่งครัด เพราะประสิทธิภาพจะลดลง และมีผลข้างเคียงมากขึ้นหากลืมกินยา
- ยาฉีด สำหรับฉีดทุก 3 เดือน
- ยาฝัง ที่บริเวณต้นแขน แบบแท่งเดี่ยวจะมีระยะเวลาคงประสิทธิภาพ 3 ปี และแบบแท่งคู่จะมีระยะเวลาคงประสิทธิภาพ 5 ปี
- ห่วงคุมกำเนิด (ใส่ในโพรงมดลูก) มีระยะเวลาคงประสิทธิภาพ 5 ปี
ฮอร์โมนรวม
- ยากิน สำหรับกินวันละ 1 เม็ด โดยหนึ่งแผงมี 21 เม็ด และยาเม็ดแป้งอีก 7 เม็ด ในบางยี่ห้อหนึ่งแผงมี 24 เม็ด และยาเม็ดแป้งอีก 4 เม็ด
- แผ่นแปะ ใช้แปะทุก 3 สัปดาห์ เว้น 1 สัปดาห์
- ห่วงใส่ช่องคลอด ใส่ 3 สัปดาห์ เว้น 1 สัปดาห์
การใช้ยาคุมในปัจจุบัน นอกจากการใช้เพื่อคุมกำเนิดแล้ว ยังสามารถนำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการจากโรคทางนรีเวชด้วย จัดเป็นประโยชน์ทางอ้อมของการใช้ฮอร์โมน โดยจะช่วยยับยั้งการตกไข่ ลดการหลั่งของสารโพรสตาแกลนดิน หรือสารที่ทำให้ปวดท้อง ปวดหน่วงช่วงมีประจำเดือน และถ้าใช้อย่างต่อเนื่องจะทำให้ประจำเดือนไม่มา ทำให้เยื่อบุมดลูกบาง จะช่วยบรรเทาอาการของโรคบางโรค เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ได้ โดยวัตถุประสงค์หลัก ๆ ของการใช้ยา คือ การบรรเทาอาการ และชะลอการดำเนินของโรค ในกรณีที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีข้อบ่งชี้ต้องผ่าตัด แต่ไม่ได้ทำให้โรคหาย หรือพยาธิสภาพของโรคหายไป ซึ่งต้องพิจารณาการใช้เป็นรายบุคคลไป
ยาคุมฉุกเฉิน ห้ามกินเกิน 2 ครั้งในชีวิตจริงหรือ?
ยาคุมฉุกเฉิน ตามที่กล่าวไปว่ามีทั้งชนิดที่เป็นฮอร์โมนเดี่ยวและฮอร์โมนรวม แต่จะมีฮอร์โมนในปริมาณที่สูงกว่ายาคุมกำเนิดปกติ โดยยาคุมฉุกเฉินนั้น ในปัจจุบัน กลไกการทำงานยังไม่แน่ชัด มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดต่ำกว่ายาคุมกำเนิดปกติ และมีข้อจำกัดในการใช้งานพอสมควร คือต้องใช้ภายใน 5 วันหลังมีเพศสัมพันธ์ หลังจากนั้นประสิทธิภาพจะลดลง
แล้วห้ามกินเกิน 2 ครั้งในชีวิตจริงหรือไม่ ในแง่ของผลจากฮอร์โมน ไม่ได้เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่ควรใช้ในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น เนื่องจากกลไกการทำงานเพื่อคุมกำเนิดของยาคุมฉุกเฉินยังไม่แน่ชัด และอัตราการคุมกำเนิดประสบความสำเร็จอยู่ที่ประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่การกินยาคุมกำเนิดปกติอยู่ที่ประมาณ 99 เปอร์เซ็นต์หรือมากกว่า จึงไม่แนะนำให้ใช้ยาคุมฉุกเฉินในการคุมกำเนิดตามปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในคนที่มีเพศสัมพันธ์บ่อย ๆ เพราะมีวิธีอื่นที่มีประสิทธิภาพมากกว่า
ผลข้างเคียงจากยาคุมกำเนิดจริง ๆ มีอะไรบ้าง?
สำหรับยาคุมกำเนิดที่ใช้ฮอร์โมนเดี่ยว ซึ่งเป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน อาจส่งผลข้างเคียงให้มีเลือดออกกะปริบกะปรอยได้ ในขณะที่ฮอร์โมนรวม ที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนเข้ามาด้วย จะลดผลข้างเคียงเรื่องเลือดออกกะปริบกะปรอยได้ แต่อาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียนมากกว่า
แนะนำการคุมกำเนิดจากหมอสูติ
การคุมกำเนิดที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันส่วนใหญ่ มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ จึงไม่ได้มีวิธีใดดีกว่าวิธีอื่น แต่การจะตัดสินใจเลือกว่าจะใช้วิธีใด ขึ้นอยู่กับปัจจัยของตัวผู้ใช้เอง โดยแพทย์จะสอบถามข้อมูลเพื่อให้คำแนะนำว่าควรคุมกำเนิดด้วยวิธีใด ถึงจะเหมาะสม ซึ่งจะพิจารณาจาก
- ต้องการคุมกำเนิดนานแค่ไหน ระยะสั้น 1-2 ปี และระยะยาวคือมากกว่า 3 ปีขึ้นไป
- นิสัยหรือพฤติกรรมการกินยา ว่าเข้มงวดแค่ไหน หากลืมกินยาบ่อย จะไม่เหมาะกับยาคุมกำเนิดประเภทยากิน
- ราคา
- ผลข้างเคียงจากยาชนิดต่าง ๆ
ยาคุมกำเนิดแบบยากิน จะเหมาะกับคนที่มีวินัยในการกินยา เพราะต้องกินทุกวัน ห้ามขาด หากลืมกิน 1-2 เม็ดแล้วนึกได้ต้องรีบกินทันทีตามจำนวนเม็ดที่ลืม แล้วกินยาต่อตามปกติเมื่อถึงเวลากินเม็ดต่อไป หากลืมกิน 3 เม็ดแล้วนึกได้ ให้ยกเลิกยาแผงนั้นไปเลย รอให้ประจำเดือนมาก่อน แล้วค่อยเริ่มยาแผงใหม่ เหมาะกับการคุมกำเนิดระยะสั้น 1-2 ปี และหลังจากหยุดกิน ไม่นานก็จะกลับมามีบุตรได้
ยาคุมกำเนิดแบบยาฉีด เป็นยาฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเดี่ยว ออกฤทธิ์ 3 เดือน หรือ 12 สัปดาห์ จึงต้องไปฉีดทุก 3 เดือน ช่วยยับยั้งการตกไข่ แต่หลังจากหยุดฉีดยา อาจต้องรอประมาณ 6 เดือนถึงจะกลับมามีลูกได้ มีข้อดีคือ ราคาถูก
ยาคุมกำเนิดแบบห่วงใส่ในโพรงมดลูก เป็นห่วงที่สอดเข้าไปในโพรงมดลูก ชนิดแรกคือห่วงที่มีตัวยาฮอร์โมน กลไกออกฤทธิ์เฉพาะที่ ทำให้มูกปากมดลูกเหนียวข้น เยื่อบุโพรงมดลูกบาง อาจยับยั้งการตกไข่ได้บ้างแต่ไม่มาก ออกฤทธิ์นาน 5 ปี มีราคาค่อนข้างสูง และอีกชนิดหนึ่งคือห่วงทองแดง ไปกระตุ้นกระบวนการอักเสบที่ไม่ใช่การอักเสบติดเชื้อ ช่วยให้สิ่งแวดล้อมในโพรงมดลูกไม่เหมาะกับการฝังตัวของตัวอ่อน ไม่มีฤทธิ์ยับยั้งการตกไข่ ทำให้มีประจำเดือนทุกเดือนตามปกติ ออกฤทธิ์นาน 8 ปี กับ 10 ปี และมีข้อดีคือ ราคาถูก
ยาคุมกำเนิดแบบแผ่นแปะและแบบห่วงใส่ในช่องคลอด เป็นฮอร์โมนรวม แบบแผ่นแปะใช้แปะติดกับผิวหนัง ให้ยาซึมผ่านผิวหนัง แบบห่วงใส่ในช่องคลอด ยาจะซึมผ่านทางผนังช่องคลอด ตัวยาออกฤทธิ์นาน 3 สัปดาห์ แล้วเว้น 1 สัปดาห์ให้ประจำเดือนมา ข้อดีคือใช้งานสะดวก หากเป็นคนชอบลืมกินยา แต่ก็อยากคุมกำเนิดระยะสั้น ๆ สามารถใช้วิธีนี้ได้
ยาคุมกำเนิดแบบฝัง เป็นฮอร์โมนเดี่ยว ใช้ฝังที่แขน ออกฤทธิ์นาน 3 ปี กับ 5 ปี แล้วแต่ชนิดยา เหมาะกับการคุมกำเนิดในระยะยาว ไม่ต้องการมีบุตรในช่วงเวลาหลายปี
สรุปแล้ว ยาคุมฉุกเฉิน ไม่แนะนำให้ใช้บ่อย ๆ ไม่ใช่เพราะเป็นยาที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย แต่เพราะประสิทธิภาพที่ให้ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าการคุมกำเนิดด้วยยาคุมกำเนิดชนิดอื่น ๆ แพทย์จึงไม่แนะนำให้ใช้พร่ำเพรื่อ หรือใช้แทนการคุมกำเนิดตามปกติ ควรใช้ในกรณีจำเป็นหรือฉุกเฉินจริง ๆ เท่านั้น